ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 1)

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

(ตอนที่ 1)

     สวัสดีครับทุกคน สบายดีกันไหมครับ ช่วงนี้สถานการณ์โควิด 19 ในไทยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูแลรักษาสุขภาพกันดีๆนะครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ตอนที่ไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่นให้ฟังครับ นอนอยู่บ้านชิวๆ แล้วมาอ่านกันดีกว่าครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ของผม

ผมจะไม่ได้ลงดีเทลเรื่องโรงเรียน การเดินทาง ที่พักอะไรมากนะครับ เพราะผมคิดว่าข้อมูลเหล่านั้นทุกคนน่าจะเคยอ่านมาเยอะแล้ว ผมเลยอยากให้บทความนี้เป็นอารมณ์ประมาณเรื่องสนุกๆที่เล่าเพื่อนฟังแทน เรื่องราวอาจจะไม่ได้ประติดประต่อกันมากนะครับ ระหว่างเพิมพ์ถ้าผมนึกอะไรออกผมก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆครับ 5555 โดยผมจะแยกออกเป็นตอนๆไปนะครับ เพื่อที่จะได้ไม่ยาวเกินไปและง่ายต่อการอ่าน ยังไงฝากติดตามเรื่องราวในญี่ปุ่น 1 ปีของผมด้วยนะครับ ^^

ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น?

  ก่อนอื่นผมขอเล่าก่อนว่าทำไมผมถึงตัดสินใจลาออกจากงานและไปเรียนภาษาถึงที่นู่น จริงๆแล้วก่อนที่ผมจะไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไทยมาก่อนซักพักนึงแล้วครับ (ก่อนไปผมมี N3 อยู่แล้ว) ก็น่าจะเหมือนกับหลายๆคนครับ คือทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย พอเรียนมาได้ซักพักนึงก็รู้สึกชอบครับแล้วก็รู้สึกว่าอยากไปให้สุด อยากพูดได้ อยากเอามาใช้ให้ได้แบบจริงจัง ไม่อยากเรียนแบบครึ่งๆกลางๆ (เหมือนภาษาอังกฤษที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ดีมาก TT)

แล้วก็ด้วยความที่ผมก็ชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นและประเทศญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย เลยอยากลองไปใช้ชีวิตที่นู่นดูครับ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำและไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น ตอนอายุ 26 ปีครับ ต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลยครับ ด้วยความที่อายุก็เริ่มเยอะแล้ว งานประจำที่ทำอยู่ตอนนั้นก็ถือว่าโอเคเลยครับ เพื่อนร่วมงานดี ใกล้บ้านด้วยครับ พอไปปรึกษาคนรอบตัว ก็มีทั้งคนที่อยากให้ไปและคนที่ไม่อยากให้ไปเพราะไม่อยากให้ทิ้งงานตอนนั้นไป ตอนนั้นบอกตรงๆเลยว่าผมลังเลพอสมควรเลยครับ

แต่สุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจไปก็คือ คำถามของเพื่อนผมคนที่นึงที่มันถามผมว่า

“เอาง่ายๆไม่ต้องไปคิดเรื่องเงินหรือความคุ้มค่าคุ้มทุนอะไร ถ้าตัดสินใจไม่ไปเรียน แล้วในอนาคตมองย้อนกลับมาจะเสียดายไหม?” 

พอได้ฟังคำถามนี้ปุ๊ป ผมก็ตัดสินใจวางแผนไปเรียนแล้วก็ลาออกเลยครับ 555 ตอนนี้ตอนที่ผมนั่งพิมพ์บทความนี้อยู่ ผมก็รู้สึกดีใจที่ตัวผม ณ ตอนนั้นตัดสินใจแบบนั้นนะครับ เอาล่ะ ผมเกริ่นมายาวพอสมควรละ เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ว่าเรื่องราวในญี่ปุ่น 1 ปีของผมไปเจออะไรมาบ้าง

ผมขอเริ่มจากตอนไปถึงญี่ปุ่นเลยนะครับ เรื่องรายละเอียดวิธีการเลือกโรงเรียนว่าควรเลือกยังไง

ผมเขียนไว้อย่างละเอียดในอีกบทความนึงแล้วนะครับ ใครที่อยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมตามไปอ่านกันได้เลยนะครับ

    เรื่องราวของผมอาจะแปลกๆนิดนึงนะครับ เพราะว่าใน 1 ปีที่ผมไปเรียนที่ญี่ปุ่น ผมไปเรียนมา 2 โรงเรียนครับ เรียนโรงเรียนแรก 6 เดือน ส่วนอีก 6 เดือนที่เหลือผมย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนนึงครับ เดี๋ยวผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังออีกทีตอนหลังนะครับ ว่าทำไมผมถึงต้องย้ายโรงเรียน บันเทิงแน่นอนครับ 5555

กู๊ดบายไทยแลนด์

สำหรับเรื่องการตัดสินใจเลือกโรงเรียน ว่าต้องพิจารณาถึงเรื่องอะไรอะบ้าง ผมเขียนไว้ในอีกบทความชื่อ จะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เลือกโรงเรียนยังไงดี ใครสนใจกดเข้าไปอ่านได้เลยนะครับ 🥰

โรงเรียนแรกที่ผมไปเรียนอยู่ที่ Nagoya ครับ เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นเล็กๆชื่อ NIA (Nagoya International Academe)  ถ้าเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นก็คือ 名古屋国際学院 ครับ ใครที่สนในสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดได้ตาม Link นี้เลยครับ (ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกไปเรียนโรงเรียนนี้ เหตุผลแรกคือถูกครับ 5555 แล้วนาโกย่าก็เป็นเมืองที่น่าสนใจครับ ไม่ได้ใหญ่เหมือนโตเกียว โอซาก้า แต่ก็ไม่ได้เล็กแบบเมืองเล็กๆตามต่างจังหวัด คึกคักกำลังดีเลยครับ นอกจากนี้ังอยู่ตรงกลางระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า เดินทางสะดวกมากครับ) ตอนนั้นที่ผมไปถึงเป็นช่วงประมานต้นๆเดือนตุลาคมครับ เป็นช่วงที่อากาศกำลังดีครับ เย็นๆ ยังไม่ถึงกับหนาว เสื้อผ้าที่เตรียมไปเลยไม่ต้องมีอะไรมาก เสื้อผ้าปกติแบบที่ใส่ในไทยเลยครับ ผมจำได้เลยว่าก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบินความรู้สึกตอนนั้นคือตื่นเต้น + กังวลนิดหน่อยครับ (กังวลว่าจะอยู่รอดไหม😂)

ตอนนั้นผมบินจากไทยตอนกลางคืนครับ ไปถึงญี่ปุ่นประมานช่วงเช้าพอดี พอไปถึงก็นั่งรอทางโรงเรียนมารับครับ (โรงเรียนส่งคนมารับที่สนามบินครับ) พอคนของโรงเรียนมาถึง เค้าก็จัดแจงซื้อบัตรโดยสารรถบัสให้ครับ แล้วก็พาไปขึ้นรถบัส เพื่อที่จะนั่งไปโรงเรียน

พอไปถึงโรงเรียนสิ่งแรกที่ทำก็คือสอบครับ ใช่ครับ สอบ!!! เป็นการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นครับ ว่าเราจะได้เรียนในระดับไหน (ข้อสอบแบ่งออกเป็นพาร์ทที่เขียนตอบ กับ สัมภาษณ์ภาษาญี่ปุ่นครับ) ตอนนั้นด้วยความที่ตอนนั่งเครื่องบินมานอนไม่ค่อยหลับ บวกกับความตื่นเต้น ก็มีมั่วไปบ้างครับ 555 หลังจากที่สอบเสร็จเซนเซคนญี่ปุ่นก็เดินไปส่งที่ที่พักครับ (โรงเรียนนี้เลือกได้ครับว่าจะพักกหอพักที่โรงเรียนหาให้ หรือจะหาเองก็ได้ครับ ตอนนั้นผมเลือกอยู่หอพักที่โรงเรียนหาให้ครับ เหตุผลเดิมเลยครับ ถูก 555)

ห้องที่ผมอยู่ตอนนั้นไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ครับ เดินไปโรงเรียนประมาน 5 นาทีครับ ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องใหญ่ครับ มีรูมเมท (ช่วงแรกที่ผมไปอยู่กัน 4 คนครับ มีคนไทย 3 คนรวมผมด้วย ส่วนอีกคนเป็นคนอเมริกาครับ ทุกคนนิสัยดีมากครับ อยู่กันได้อย่างสนุกสนาน ไม่มีปัญหาอะไรครับ)

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

รูปบรรยากาศในห้องเรียนแล้วก็แถวๆโรงเรียนครับ (ผมถ่ายไว้ไม่ค่อยเยอะๆ ขอโทษทีครับ 😅)

ช่วงแรกๆของการไปอยู่ที่ญี่ปุ่นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือสำรวจพื้นที่รอบๆที่พักก่อนครับ ว่ามีอะไรบ้าง มีร้านอาหารอะไรให้กินบ้าง ถ้าจะทำกับข้าวต้องซื้อของสดที่ไหน ประมานนี้ครับ โชคดีที่รูมเมทผมคนนึงเป็นน้องคนไทยที่เค้าอยู่มาก่อนแล้วเลยได้น้องเค้าแนะนำอะไรหลายอย่างเลยครับ ผมเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แล้วก็หาซื้อของใช้ส่วนตัวต่างๆครับ พวกสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ผงซักฟอก ฯ (แนะนำว่าของที่สามารถหาซื้อได้ที่นู่น ไม่ต้องเอาไปจากไทยหรอกครับ จะได้ไม่เปลืองพื้นที่และน้ำหนักกระเป๋า)  สิ่งที่ต่างจากไทยและจำเป็นต้องปรับตัวก็พวกเรื่องการทิ้งขยะครับ ที่ต่างกับที่ไทยมากไว้มีโอกาสเดี๋ยวผมมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดนะครับ

เปิดเทอม กลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง!

หลังจากมาถึงได้ไม่นานก็ได้เวลาเปิดเทอมเริ่มเรียนกันครับ ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับเหมือนได้ย้อนกลับมาเป็นวัยเรียนอีกรอบ😂 โรงเรียนที่ผมเรียนจะแบ่งเวลาเรียนออกเป็น 2 ช่วงเวลานะครับ คือ ช่วงเช้าสำหรับนักเรียนระดับกลางถึงระดับสูง และช่วงบ่ายสำหรับนักเรียนระดับพื้นฐาน ผมได้เรียนช่วงเช้าครับ การเรียนการสอนของที่นี่ก็จะมีทั้งสอนเรื่องการฝึกฟัง ผึกพูด ฝึกเขียนเรียงความ แล้วก็แกรมม่าครับ ก็คือสอนครบทุกทักษะที่จำเป็นต้องใช้แหละครับ 555 โดยจะมีเซนเซหลายคนนะครับ เวียนกันสอนสลับไปในแต่ละวัน ระหว่างเรียนก็จะมีกิจกรรมแทรกเรื่อยๆครับ เช่น มีให้ออกมาพรีเซ้นหน้าห้อง ให้จับกลุ่มกันคุยตามหัวข้อที่กำหนด มีให้ทำแบบสอบถามแล้วก็ออกไปสัมภาษณ์คนญี่ปุ่นข้างนอกโรงเรียนด้วยครับ นอกจากนี้ก็จะมีพวกกิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น สอนทำข้าวปั้น สอนเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันจีน โดยกิจกรรมจะมีเรื่อยๆครับ มีทั้งแบบที่ฟรีและเสียเงิน (สำหรับกิจกรรมที่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม) แล้วก็มีการพาไปเที่ยวนอกสถานที่ครั้งนึงด้วยครับ ตอนรุ่นผมโรงเรียนพาไปเที่ยวเกียวโตครับ นั่งรถบัสกันไปสนุกมากครับ

ข้างล่างนี้เป็นรูปจากตอนที่โรงเรียนพาไปเที่ยวเกียวโตครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ชีวิตที่โรงเรียนก็สนุกสนานเฮฮาดีครับ มีเพื่อนจากหลากหลายชาติซึ่งผมชอบมาก เพราะว่าการได้พูดคุยกับคนชาติอื่น มันเหมือนเราได้เปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นครับ บางเรื่องที่สำหรับคนไทยเรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนต่างชาติแล้วมันอาจจะไม่ธรรมดาก็ได้ครับ หรือบางเรื่องที่เรามองว่าเค้าแปลก แต่สำหรับเค้ามันก็แค่เรื่องธรรมดา ยังไงอยากให้ลองเปิดใจให้กว้างแล้วหาเพื่อนจากหลายๆชาติดูนะครับ อย่าจับกลุ่มกันแต่คนไทย อุตส่าห์มีโอกาสได้เจอกันทั้งที 🙂

แล้วก็คำถามที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะโดนถาม (ค่อนข้างบ่อย) ซึ่งบางคนน่าจะพอเดาได้ ก็คือเรื่องช้างกับมวยไทยนั่นเองครับ 555 เชื่อมั๊ยครับว่าต่างชาติบางคนยังคิดว่าประเทศเรามีช้างเดินไปมาตามท้องถนนและคนไทยทุกคนชกมวยไทยเป็นอยู่เลย 555

ช่วงแรกๆที่ไปอยู่ที่นู่นผมยังไม่ได้ทำงานพิเศษครับ เนื่องจากอยากโฟกัสกับการเรียน (จริงๆคือขี้เกียจแล้วก็อยากเที่ยวครับ 555) ช่วงแรกๆหลังจากที่เรียนในช่วงเช้าเสร็จผมจะชอบไปเดินเล่นครับ เดินสำรวจแถวโรงเรียน ที่พัก บางทีก็เดินแบบไม่มีจุดหมาย แค่อยากเดินไปเรื่อยๆ ใครที่มีโอกาสได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ผมแนะนำว่าวันไหนที่อากาศดีๆแล้วมีเวลาว่าง ลองเดินเล่นแบบไม่มีจุดหมายดูครับ สำหรับผมมันเป็นการผ่อนคลายที่ดีมากเลยครับ ^^ และผมว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เดินง่าย เดินสนุกครับ (อยากให้ประเทศเราเป็นแบบนั้นบ้าง TT) ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ถ้ามีเวลาก็ไปเที่ยวสถานที่ใกล้ๆครับ สำรวจตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในนาโกย่า (ไว้เดี๋ยวคราวหลังผมมาเขียนเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจในนาโกย่าอีกทีนะครับ)

ญี่ปุ่น บรรยากาศ สวน

ญี่ปุ่น บรรยากาศ สวน ต้นไผ่

ญี่ปุ่น บรรยากาศ

ญี่ปุ่น บรรยากาศ

รูปที่ผมถ่ายตอนเดินเล่นแถวๆที่พักครับ บรรยากาศดีมากก อยากให้ที่ไทยเป็นแบบนี้ 😥


พายุใต้ฝุ่นฮากิบิส

หลายๆคนน่าจะพอจำข่าวในช่วงเดือนตุลาคม 2019 ได้ใช่ไหมครับ ที่มีพายุใต้ฝุ่นลูกใหญ่(มากกกก)ลูกนึงชื่อฮากิบิสเข้าถล่มญี่ปุ่น ช่วงนั้นคือข่าวที่ประเทศไทยก็ออกกันใหญ่โตมาก ใน Facebook เพสต่างๆก็มีคนแชร์กันเต็มไปหมด เป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดในรอบ 60 ปี เรียกได้ว่าเป็นการต้อนรับการไปถึงญี่ปุ่นอย่างไม่มีวันลืมกันเลยทีเดียว 555 ช่วงนั้นที่ญี่ปุ่นเองก็ออกข่าวทุกช่องเหมือนกันครับ บอกให้เตรียมตัว เตรียมอาหาร น้ำ ของกิน สำหรับยามฉุกเฉิน ไม่ให้ออกนอกบ้านในช่วงที่มีพายุเข้า ตัวผมเองก็ตื่นเต้นไปด้วย เพราะเอาจริงตั้งแต่เกิดมาอยู่ประเทศไทยยังไม่เคยเจอพายุเลยครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

นี่คือภาพบรรยากาศที่ร้านขายของที่ญี่ปุ่นตอนนั้นครับ คนญี่ปุ่นคือเตรียมพร้อมกันมากก ตุนของกินกันแทบทุกคน ผมไปถึงนี่แทบช็อคเลยครับ ของกินเกลี้ยงเลย โดยเฉพาะพวกของกินที่กินได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไร เช่นพวกขนมปังต่างๆ  ซีเรียล นม หาซื้อแทบไม่ได้เลยครับ (ตอนที่พายุเข้ามีความเสี่ยงที่แกสจะโดนตัดครับ การตุนของกินเลยแนะนำให้เตรียมของที่กินได้เลยไม่จำเป็นต้องปรุง)

อ้อแล้วก็อีกอย่างนึงที่หายเกลี้ยงเหมือนกันคือพวกเทปกาวครับ เพราะว่าเวลาที่พายุเข้าคนจะซื้อไปติดที่กระจกหน้าต่างครับ เพราะเวลาที่กระจกแตก เทปจะช่วยลดการแตกกระจายของกระจกได้ครับ (ถ้ามีผ้าม่านให้ปิดดผ้าม่านไว้ด้วยนะครับ ผ้าจะช่วยให้เศษกระจกที่แตกไม่ปลิวเข้ามาในห้องได้ครับ)

ด้วยความที่ตอนนั้นข่าวที่ออกที่ไทยค่อนข้างหน้ากลัว คนรู้จักที่ไทยพอเห็นข่าวคือโทรมาหาเยอะมากกกว่าเป็นอะไรหรือป่าว ตอนนั้นรู้สึกดีใจเหมือนกันครับ ที่รู้ว่ามีคนเป็นห่วงผมเยอะขนาดนี้😭

ผมกับรูมเมทก็ช่วยกันเตรียมพร้อมทุกอย่างเท่าที่จะเตรียมได้ครับตอนนั้น ทั้งตุนอาหาร ลองน้ำเก็บไว้ในอ่างอาบน้ำเผื่อน้ำไม่ไหล พอถึงวันที่พายุขึ้นฝั่งเอาจริงๆตอนนั้นก็น่ากลัวเหมือนกันครับ ฟ้ามืด ฝนตก ลมแรง ทุกคนเก็บตัวอยู่ในห้องคอยตามข่าว แต่โชคดีครับที่ตอนนั้นพอพายุขึ้นฝั่ง พายุเบาลงนิดนึงและเส้นทางพายุเอนขึ้นไปข้างบน ตรงนาโกย่าเลยไม่โดยไม่แรงมากครับ มีฝนตกลมแรงหน้าต่างสั่นให้หวั่นใจบ้างเป็นช่วงๆ แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดีครับ ผมยังสบายดีมานั่งพิมพ์รีวิวให้ทุกคนอ่านอยู่ครับ 555หลังจากพายุผ่านไป ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีครับ แถวที่พักและโรงเรียนที่ผมเรียนไม่มีอะไรเสียหาย เปิดเรียนได้ตามปกติครับ


วันฮาโลวีนในญี่ปุ่น

 สำหรับคนไทยเราอาจจะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับวันฮาโลวีนกันมากนัก แต่คนญี่ปุ่นโดนเฉพาะวันรุ่นค่อนข้างจริงจังกับวันฮาโลวีนพอสมควรเลยครับ ตามเมืองใหญ่ๆพอถึงวันฮาโลวีนมักจะมีการมารวมตัวกัน แล้วแต่งชุดคอสเพลย์กันครับ ขอบอกเลยว่าชุดคอสเพลย์ของคนญี่ปุ่นก็คือหลุดโลกเหนือจินตนาการมากครับ 555 ใครมีโอกาสแนะนำว่าห้ามพลาดเลยนะครับ ไม่ต้องแต่งก็ได้ครับ แค่ไปยืนดูก็สนุกแล้วครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้แต่งครับ ไปเดินดูอย่างเดียว แล้วก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนต่อ 555 (ใครอายุไม่ถึงห้ามกินนะครับ!)

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ญี่ปุ่น ฮาโลวีน

ภาพบรรยากาศวันฮาโลวีนที่นาโกย่าครับ


เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ญี่ปุ่น

    เรื่องนี้เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีละกันครับ ตั้งแต่เกิดผมอยู่ไทยมาไม่เคยเป็นไข้หวัดใหญ่มาก่อนเลยครับ มาแจ็คพอตแตกเป็นที่ญี่ปุ่น งงเหมือนกันครับ 555 ตอนแรกผมยังไม่รู้ครับว่าตัวเองเป็นไข้หวัดใหญ่ นึกว่าเป็นไข้ธรรมดาเลยใส่แมสแล้วก็ไปเรียนตามปกติ เรียนไปเรียนมาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ หลังเลิกเรียนผมไปคุยกับเซนเซที่โรงเรียนแล้วขอยืมที่วัดไข้ใช้ พอวัดเสร็จเลขออกมาประมาน 39 องศาได้ครับ เซนเซเห็นเลขแล้วตกใจเลยรีบพาผมไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆครับ

พอไปถึงพยาบาลก็ทำการตรวจโดยใช้วิธี Nasal Swab (เจ็บมากก TT) แล้วก็ให้นั่งรอผลซักพักนึงครับ ผ่านไปซักพักก็เรียกเข้าไปพบคุณหมอ คุณหมอแจ้งว่าผมเป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ครับ คุณหมอก็ตรวจร่างกายคร่าวๆ สั่งยาให้ แล้วก็แนะนำให้หยุดเรียนก่อนซักพัก แล้วก็แนะนำวิธีการกินยา การดูแลตัวเองทั่วไปครับ (ตอนนั้นผมให้เซนเซเข้าไปด้วยนะครับ เผื่อฟังคุณหมอไม่เข้าใจจะได้หันไปถามเซนเซได้ 555)

สรุปก็คือผมต้องหยุดเรียนครับ แล้วก็นอนพักอยู่ที่ห้อง (ผมลืมว่าหยุดไปกี่วัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาน 2 ไม่ก็ 3 วันนะครับ) จำได้เลยว่าหลังจากตรวจเสร็จแล้วกลับไปนอน อาการหนักมากครับตอนนั้น ไข้ขึ้นสูง ปวดหัว ปวดไปทั้งตัว ไม่มีแรงเลยครับ ข้าวก็กินไม่ค่อยได้ TT ตอนนั้นในใจคือคิดถึงบ้านมากครับ งอแงมาก ยิ่งโทรคุยกับแม่คือยิ่งอยากกลับบ้าน 555 ยังดีครับที่ตอนนั้นรูมเมทผมคอยช่วยดูแล ช่วยซื้อกับข้าวให้ครับ (ตอนอยู่ในห้องผมใส่แมสตลอดนะครับ รวมทั้งตอนนอนด้วยครับ เพราะกลัวจะทำให้รูมเมทคนอื่นติดไปด้วย แต่สุดท้ายจนผมหายก็ไม่มีคนติดครับ)

เข็ดเลยครับตอนนั้น นอนโทรมไปหลายวันเหมือนกัน ดังนั้นใครที่จะไปเรียนหรือไปทำงานที่ญี่ปุ่น ก่อนไปแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไทยมานะครับ เพราะว่าฉีดง่ายและราคาถูกกว่าที่ญี่ปุ่น (จริงๆมีคนแนะนำผมมาเหมือนกันว่าให้ฉีดก่อนไป แต่ผมลืมครับ แล้วก็ประมาทด้วยแหละว่าตัวเองไม่น่าเป็นหรอก สรุปคือไม่รอดครับ 555)


โทรเรียกตำรวจที่ญี่ปุ่น

อ่านหัวข้อเรื่องแล้วอย่าพึ่งตกใจนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับคดีฆาตรกรรมในห้องปิดตายหรืออะไรทำนองนั้นแน่นอนครับ 555

เรื่องนี้จะจัดว่าเป็นเรื่องแนวไหนดี…เอาเป็นว่าเป็นเรื่องราวขำๆ ปนกับน่าอายละกันครับ

เรื่องมีอยู่ว่าในกลางดึกคืนนึง ผมลุกไปเข้าห้องน้ำตอนประมาณเที่ยงคืนเกือบตี 1 ได้ครับ ระหว่างเข้าห้องน้ำผมก็นั่งเล่นโทรศัพท์ทำธุระตามปกติ พอจังหวะที่กำลังจะออกจากห้องน้ำ ประตูดันเปิดไม่ออกขึ้นมา ตอนแรกผมก็ยังไม่คิดอะไรมากครับ เนื่องจากประตูห้องน้ำอันนี้บางทีมันก็เปิดยากเป็นปกติอยู่แล้ว ก็เลยค่อยๆพยายามบิดแล้วก็ดันให้มันออก แต่ครั้งนี้มันดันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือผมพยายามเท่าไหร่มันก็เปิดไม่ออก!

ผมจำได้ว่าดันอยู่นานเหมือนกันครับแต่ยังไงก็เปิดไม่ออก คราวนี้เริ่มเหงื่อตกละครับ อย่าบอกนะว่าจะต้องนอนในห้องน้ำ โนวววว 😱 ตอนนั้นผมเลยตะโกนเรียกรูมเมทผมที่เป็นคนยูเครนที่นอนหลับอยู่ครับ (ตอนต้นเรื่องผมบอกว่ารูมเมทผมเป็นคนไทย 3 คนรวมผม แล้วก็คนอเมริกาอีก 1 คนใช่ไหมครับ แต่ตอนเกิดเรื่องนี้เวลาผ่านมาจากตอนนั้นหลายเดือนเหมือนกันครับ ตอนนี้้คนอเมริกากับน้องคนไทยอีกคนกลับประเทศไปแล้วครับ เลยเหลือผม รูมเมทคนใหม่ที่เป็นคนยูเครน แล้วก็พี่คนไทยอีกคนนึง ซึ่งวันนั้นพี่เค้าไม่อยู่ห้องครับ) รูมเมทผมก็ตื่นมาแบบงงๆ แล้วก็มาช่วยกันพยายามเปิดประตูกันอยู่ซักพัก ดันกันจนเหนื่อย แต่ทำยังไงก็เปิดไม่ออกครับ ตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดคือหรือจะลองโทรหาเซนเซที่โรงเรียนดู แต่ด้วยตอนนั้นมันตีหนึ่งกว่าแล้ว แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเซนเซเค้าบ้านอยู่ที่ไหนกันบ้าง จะให้มาเปิดประตูให้คงยาก

แล้วตอนนั้นเองผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ไกลจากที่พักผมมีป้อมตำรวจเล็กๆอยู่ คุณตำรวจน่าจะช่วยผมได้ 555 (ตอนนั้นนึกทางเลือกอื่นไม่ออกแล้วจริงๆครับ😅) เลยคุยกับรูมเมทแล้วให้รูมเมทผมออกไปเรียกตำรวจให้ครับ โดยที่ผมให้รูมเมทผมพกโทรศัพท์มือถือไปด้วย ไปถึงแล้วให้เอาโทรศัพท์ให้ตำรวจเดี๋ยวผมคุยเอง (รูมเมทผมพึ่งเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ไม่นานครับ ยังพูดไม่ค่อยได้) พอซักพักประมาน 5 นาทีหลังที่รูมเมทผมออกจากห้องไป เค้าก็โทรกลับมาหาผมคน โดยคนที่คุยกับผมก็คือคุณตำรวจครับ ด้วยความที่ผมก็เริ่มกระวนกระวาย ตอนคุยกันกว่าจะเข้าใจกันได้ก็ซักพักเลยครับ งงกันไปงงกันมา 555 จนสุดท้ายคุณตำรวจก็เข้าใจครับ แล้วก็มาที่ห้องพร้อมกับกับรูมเมทของผม

ตอนนั้นคุณตำรวจมากัน 2 คนครับ มาช่วยกันงัดประตูห้องน้ำให้ผม งัดกันแบบจริงจังมากครับ 555 น่าจะประมาน 5 นาทีได้ครับ สุดท้ายประตูก็เปิดได้ซักที ตอนที่ประตูห้องน้ำเปิดได้ ผมนี่ไม่รู้จะขอบคุณคุณตำรวจทั้ง 2 คนยังไงเลยครับ ความรู้สึกผมตอนนั้นคือซึ้งปนๆกับเขินแล้วก็เกรงใจครับที่เรียกมาดึกดื่นด้วยเรื่องแค่นี้ ตอนนั้นคือผมขอบคุณไปด้วยทุกประโยคที่นึกเลยครับ 5555 คุณตำรวจก็ขำๆครับ พอหลังงัดเสร็จเค้าก็ไปหาเทปใสมาแปะตรงกรอนประตูให้ครับ (ไม่ให้มันล็อคเข้าไปอีก) แล้วก็บอกว่าตอนเช้าให้ไปแจ้งกับทางที่พักให้เค้ามาเปลี่ยนด้วยนะ หลังจากนั้นก็แยกย้ายครับ เรื่องนี้คือเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะนึกย้อยไปกี่ครั้งก็ขำครับ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์แปลกๆ งงๆ ที่ยังไงก็คงไม่ลืมแน่ๆ

เพื่อนๆคนไหนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ถ้าปัญหาอะไรก็ลองขอความช่วยเหลือจากพี่ๆตำรวจดูได้นะครับ ^^


ไหนๆก็พูดถึงเรื่องตำรวจแล้ว เพื่อนๆรู้จักเบอร์ฉุกเฉินของประเทศญี่ปุ่นกันใช่ไหมครับ?

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ ตามมาอ่านตรงนี้ได้เลยครับ จริงๆแล้วประเทศญี่ปุ่นเองก็มีเบอร์โทรสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆเยอะเหมือนกันครับ แต่ที่ผมอยากให้ทุกคนจำมีแค่ 2 เบอร์เท่านั้นครับ

  1. 110 (อ่านว่า ひゃくとうばん นะครับ ไม่ใช่ ひゃくじゅうばん) เบอร์เอาไว้สำหรับโทรหาตำรวจครับ เวลาที่เกิดเหตุร้ายหรือคดีอะไรต่างๆ โทรแจ้งที่เบอร์นี้ได้เลยครับ
  2. 119 (อ่านว่า ひゃくじゅうきゅうばん) เบอร์นี้เอาไว้สำหรับโทรหารถดับเพลิงและรถพยาบาลครับ เวลาที่เจอเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือมีใครบาดเจ็บจำเป็นต้องเรียกรถพยาบาล โทรแจ้งที่เบอร์นี้ได้เลยครับ

ทั้ง 2 เบอร์นี้ผมแนะนำให้จำเอาไว้ก็ดีนะครับ บางคนอาจจะคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ใช้หรอก แต่อย่าประมาทไปครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ อ้อแล้วผมขอไว้เรื่องนึง ห้ามโทรไปเล่นๆหรือโทรไปแกล้งนะครับ!!!


เป็นไงบ้างครับ ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ตอนแรกของผม

เอาล่ะครับสำหรับพาร์ทแรกก็น่าจะยาวพอสมควรแล้ว ผมขอจบพาร์ทแรกไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ใครที่สนใจอยากอ่านต่อ

ไปเจอกันในพาร์ท 2 ได้เลยคร้าบบบ 😁

ในเว็บของเรายังมีบทความที่น่าสนใจอีกหลายอันเลยนะครับ เพื่อนๆคนไหนที่สนใจลองกดเข้าไปอ่านกันได้เลยนะครับ

(japantoprank.com)

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *