ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 2)
สวัสดีครับทุกคนสำหรับคนที่อ่าน ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ตอนที่ 1 จบแล้ว มาอ่านตอนที่ 2 ต่อกันเลยกว่าครับ สำหรับตอนนี้จะเป็นเรื่องหลังจากที่ผมย้ายโรงเรียนจากนาโกย่ามาที่คาวาซากิแล้วนะครับ
ทำไมถึงย้ายโรงเรียน?
จากตอนแรกที่ผมเกริ่นไปแล้วว่า 1 ปีที่ผมไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น ผมไปเรียนมา 2 โรงเรียน หลายๆคนอ่านแล้วคงจะสงสัยกันว่าทำไมผมไม่เรียนที่เดียวให้ครบ 1 ปีไปเลย เรื่องนี้พอดีว่ามันผิดแผนที่จากผมวางไว้ตอนแรกนิดหน่อยครับ
จริงๆคือก่อนที่จะไปเรียนผมไม่ได้มีแพลนที่จะย้ายไปเรียนอีกที่นึงเลยครับ แพลนว่าจะเรียนที่นาโกย่า 1 ปี แต่ตอนนั้นมันมีปัญหานิดหน่อยครับ คือตอนที่ผมสอบวัดระดับเข้าเรียนที่นาโกย่า ผมได้เริ่มเรียนในคอร์สระดับที่ค่อนข้างสูง พอเริ่มเรียนไปแล้วก็คุยกับทางโรงเรียน ปรากฏว่าถ้าเรียนตามคอร์สนี้ต่อไปเรื่อยๆ พอหลังจากครบ 6 เดือน คอร์สระดับต่อไปมันจะเปิดไม่ได้ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนไม่พอ ถ้าจะเรียนโรงเรียนนี้ต่อก็ต้องเรียนคอร์สระดับเดิมซ้ำไปอีก 6 เดือน รอจนนักเรียนในคลาสอื่นขึ้นมาถึงระดับที่ผมต้องการจะต่อ 😱😱😱
ซึ่งตอนนั้นผมมองว่าการต้องเรียนคอร์สระดับเดิมซ้ำอีก 6 เดือนมันเสียเวลา และจากแผนเดิมที่ตั้งใจจะมาเรียนแค่ 1 ปี ก็จะกลายเป็น 1 ปี 6 เดือน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อที่โรงเรียนนี้และหาโรงเรียนอื่นที่มีคอร์สในระดับสูงแล้วเรียนต่ออีก 6 เดือนแทนครับ บอกเลยว่าการย้ายโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เพราะนอกจากต้องหาข้อมูลของโรงเรียนใหม่ที่จะย้ายไปแล้วยังต้องดำเนินเรื่องเอกสารต่างๆอีกหลายอย่าง บอกได้เลยว่าวุ่นวายเอาเรื่องเหมือนกันครับ
ตอนนั้นที่ผมจะทำเรื่องย้ายโรงเรียน ผมทักไปปรึกษากับทาง JEDUCATION ครับ ให้เค้าช่วยหาโรงเรียนแล้วก็ทำเรื่องย้ายให้ครับ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาดีมากครับ แนะนำว่าทั้งเรื่องโรงเรียน เรื่องที่พัก แล้วก็เรื่องเอกสารต่างๆที่ผมต้องเตรียมครับ ยังไงถ้าใครมีแพลนจะไปเรียนที่ญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี ลองไปปรึกษากับทาง JEDUCATION ดูก่อนก็ได้ครับ
อีกครั้งแล้วสินะที่ฉันต้องโยกย้าย
พอถึงวันที่ต้องย้ายออกจริงๆก็ใจหายเหมือนกันครับ เหมือนเราเริ่มชินกับที่นี่แล้ว สนิทกับเซนเซในโรงเรียนหลายๆคนแล้วด้วย TT แต่ยังไงก็ต้องย้ายครับเพราะอยู่ต่อก็ไม่มีคอร์สให้เรียน 5555 ตอนนั้นผมย้ายจากที่นาโกย่าไปคาวาซากิครับ (คาวาซากิคือเมืองในจังหวัดคานากาว่าที่อยู่ติดกับโตเกียวครับ) ตอนที่ผมย้ายผมนั่งรถบัสไปครับนั่งจากนาโกย่าไปลงที่โตเกียว แล้วก็ต่อรถไฟจากโตเกียวไปคาวาซากิอีกทีครับ ใครที่ยังไม่เคยเดินทางในญี่ปุ่นโดยใช้รถบัสผมแนะนำให้ลองดูครับ อาจจะไม่ได้เร็วเท่าพวกรถไฟชินคันเซ็น แต่ราคาถูกและสะดวกมากครับ (บนรถบัสมี wifi ให้ใช้ แล้วก็มีที่เสียบชาร์ตโทรศัพท์ด้วยครับ) รถบัสญี่ปุ่นออกตรงเวลาแล้วก็ไปถึงจุดหมายแบบตรงเวลาด้วยนะครับ ใครซื้อตั๋วเวลาไหนไว้ก็เผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับเดี๋ยวตกรถ
อ้อแล้วก็เรื่องสัมภาระ เผื่อมีคนสงสัยว่าผมขนไปยังไง ลากไปทีเดียวหมดเลยหรอ ด้วยความที่ของส่วนตัวผมไม่ได้เยอะมากครับ ที่เยอะก็คือพวกหนังสือครับ ผมเลยแบ่งเป็น 2 ส่วนครับ พวกของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า ผมจัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 1 ใบ กระเป๋าหิ้ว 1 ใบ แล้วก็กระเป๋าสะพายหลังอีก 1 ใบ ส่วนนี้คือของที่ผมแบกไปด้วยตัวเองตอนที่ย้ายครับ อีกส่วนนึงคือพวกหนังสือ ชีทเรียนต่างๆครับ ซึ่งเยอะและหนักมากก ผมไปซื้อกล่องที่ไปรษณีย์เพื่อเอามาแพ็คของใส่ แล้วส่งตามไปทีหลังครับ (ตอนนั้นผมวานให้พี่คนไทยอีกคนที่เค้ายังอยู่ที่นาโกย่าต่อเป็นคนส่งให้ครับ)
ประมานนี้ครับสัมภาระของผมตอนนั้น นอกจากในรูปก็จะมีกระเป๋าสะพายหลังอีกใบครับ
ผมเดินทางไปถึงก่อนวันที่นัดกับโรงเรียนใหม่ 1 วันครับ แล้วก็ไปนอนพักโรงแรมถูกๆแถวโรงเรียนใหม่คืนนึงครับ (เป็นห้องคล้ายๆโรงแรมแคปซูน) ที่ผมเลือกไปถึงก่อนวันนึงก็เพราะจากที่ผมคำนวณตอนนั้น ถ้าจะไปถึงเช้าวันที่นัดเลยมี 2 ทางครับ
1. นั่งชินคันเซ็นจากนาโกย่าไปคาวาซากิเลย วิธีนี้แพงครับผมเลยตัดทิ้ง (แพงกว่าค่ารถบัสรวมค่าโรงแรมคืนนึงอีกครับ)
2. นั่งรถบัสกลางคืนจากนาโกย่าแล้วไปถึงคาวาซากิตอนเช้า (วิธีนี้ดูเหนื่อยผมก็เลยตัดทิ้งเช่นกันครับ 555)
แล้วก็อีกเหตุผลนึงคือผมกลัวหลงครับ เลยอยากไปถึงก่อนแล้วก็ไปเดินสำรวจสถานที่กันไว้ก่อน 😅 ตอนนั้นพอไปถึงผมก็ไปเช็คอินที่โรงแรม เอาสัมภาระต่างๆไปเก็บ แล้วก็ลองเดินไปสำรวจสถานที่ของโรงเรียนไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เดินเล่นแถวโรงแรม หาข้าวกินครับ
รูปโรงแรมที่ผมไปพักตอนนั้นครับ เป็นห้องเล็กสำหรับนอนได้ 1 คนครับ แล้วก็มีห้องน้ำกับห้องอาบน้ำรวมให้ มีสบู่ แชมพู ครีมนวด ไดร์เป่าผมให้พร้อมเลยครับ (โรงแรมแบบนี้ส่วนใหญ่จะมีแยกเป็น ชั้นที่เป็นห้องผู้ชาย ชั้นที่เป็นห้องผู้หญิง และชั้นแบบรวมหญิงชาย แล้วก็จะมีระบุว่าเป็นห้องแบบสูบบุหรี่ได้หรือไม่ได้ ตอนจะจองอ่านให้ละเอียดนะครับ)
วันแรกที่เข้าไปโรงเรียน ทางโรงเรียนพาผมไปห้องพักเพื่อเก็บของก่อนครับ อ้อผมลืมบอกโรงเรียนที่ผมย้ายมาชื่อ CBC (College of Business and Communication) ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ 外語ビジネス専門学校 ครับ ซึ่งโรงเรียนนี้มีหอพักของโรงเรียนเองครับ และหอพักของโรงเรียนอยู่ตึกเดียวกับโรงเรียนเลยครับ!! อย่าว่าแต่ไม่ต้องเสียค่าเดินทางเลยครับ เรียกได้ว่าเดิน 1 นาทีถึงโรงเรียน 5555
พอเอาของไปเก็บที่ห้องเสร็จแล้วก็เหมือนเดิมครับคือ ทำข้อสอบวัดระดับก่อนเข้าเรียน ตอนนั้นหลังจากที่ผมเรียนที่นาโกย่าจบมา 6 เดือน ผมเรียนเนื้อหาของ N2 ไปแล้วครับ พอมาเรียนที่นี่เลยได้เรียนคอร์สที่สอนเนื้อหาของ N1 ครับ
สำหรับโรงเรียนนี้ เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีเซนมงด้วยครับ (สำหรับรายละเอียดของโรงเรียน เข้าไปดูตาม Link นี้ได้เลยครับ) จุดเด่นที่ทำให้ผมเลือกโรงเรียนนี้คือ 1. จำนวนชั่วโมงเรียนที่เยอะกว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ครับ 2. มีวิชาเลือกให้ลงเรียนด้วยครับ (เช่น วิชาเขียนฝึกเขียนเรียงความ วิชาภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในธุรกิจ วิชาติวสอบ JLPT ระดับต่างๆ) 3. สถานที่ครับ โรงเรียนนี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟคาวาซากิเลยครับ เดินทางสะดวกมากก ไม่ว่าจะเดินทางเข้าโตเกียวหรือจะไปทางโยโกฮาม่าก็สะดวกมากครับ
ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี กับ โควิดตัวร้าย!!!
ตอนที่โควิดระบาทหนักๆผมอยู่ในญี่ปุ่นพอดีครับ เรียกได้ว่าเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อนของผม 😭 ตอนช่วงที่ผมพึ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ สถานการณ์โควิดที่ญี่ปุ่นรุนแรงมากครับ ทำให้โรงเรียนตัดสินใจเปลี่ยนให้เรียนแบบออนไลน์แทน เอาจริงตอนนั้นก็แอบเฟลเหมือนกันครับ แบบเราอุตส่าห์ไม่กลับไทยแล้วย้ายโรงเรียนมาเรียน แต่กลายเป็นต้องเรียนแบบออนไลน์ TT
ใน ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 1) ผมลืมเขียนเรื่องโควิดไว้ ผมขอเอามาเพิ่มตรงนี้นิดนึงนะครับ
ตอนที่ผมอยู่นาโกย่าตอนนั้นโควิดก็เริ่มระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วเหมือนกันครับ มีช่วงนึงที่แมสขาดแคลนจนหาซื้อยากมากครับ ผมจำได้เลยว่าต้องไปยืนต่อแถวหน้าร้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ในหน้าหนาว (หนาวมากกก 🥶) เพื่อไปเอาบัตรคิวสำหรับซื้อแมส ผมไปต่ออยู่ประมาน 3-4 ครั้งได้ครับ แล้วก็โชคดีได้แมสแบบกล่องมา 3 กล่อง ทำให้ตอนที่ย้ายมาคาวาซากิ ผมไม่มีปัญหาเรื่องแมสเลยครับ
แต่พอเริ่มเรียนก็โอเคอยู่ครับ เนื่องจากโรงเรียนวางระบบการเรียนออนไลน์มาค่อนข้างดี ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรครับ ตอนนั้นถ้าจำไมผิดผมเรียนแบบออนไลน์ประมาณเดือนนึงได้ครับ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเรียนในห้องตามปกติ แต่ก็มีการวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวันก่อนเข้าเรียน (ใช้ที่วัดแบบยิงที่หน้าผาก) ระหว่างเรียนต้องสวมแมสตลอดเวลาแล้วก็ให้นั่งโต๊ะละคนเพื่อเว้นระยะห่างครับ (ถึงสุดท้ายตอนช่วงพักทุกคนก็มักจะเดินมาเล่นกันก็เถอะครับ 555)
ซึ่งผมเป็นคนที่มีปัญหากับเรื่องการวัดอุณหภูมิก่อนเข้าเรียนบ่อยมากครับ 5555 คือที่โรงเรียนเค้าจะตั้งกฎไว้ว่าห้ามอุณหภูมิร่างกายสูงเกินประมาน 37 องศาครับ (ผมจำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ครับ ประมาน 37 ไม่ก็ 37 ต้นๆ) แล้วผมเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายปกติค่อนข้างสูง (เวลามีคนมาจับตัวจะชอบบอกว่าผมตัวอุ่นๆ) บวกกับเวลาที่เดินไปโรงเรียนตอนเช้าบางทีแดดมันร้อนครับ (ตอนนั้นเป็นช่วงอากาศกำลังร้อนพอดีครับ) เวลาวัดอุณหภูมิทีไร เลขมันเลยออกมาเกินค่าที่เค้ากำหนดไว้บ่อยมากก แล้วพอเกินเซนเซก็จะให้แยกตัวออกไปให้นั่งพักในห้องแอร์ก่อนแล้วให้วัดไข้แบบละเอียดอีกครั้งนึงโดยใช้ที่วัดแบบปรอท ผมเป็นคนนึงที่มีปัญหานี้บ่อยมากครับ หลังๆมาผมเลยไปให้เร็วขึ้นหน่อย เผื่อโดนกักไว้ จะได้ไม่ขึ้นไปเรียนสายครับ ผมเจอปัญหานี้หลายรอบจนเซนเซยังขำเลยครับ 5555 (จริงๆนอกจากผมก็ยังมีคนอื่นอีกครับ ที่มีปัญหาเรื่องนี้) แต่ผมเข้าใจทางโรงเรียนนะครับ และก็คิดว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่โรงเรียนตรวจแบบละเอียด จะได้ช่วยลดความเสี่ยงให้นักเรียนทุกคนได้ครับ
ผลกระทบจากโควิดนอกจากเรื่องการเรียนแล้วก็ยังกระทบกับอีกหลายเรื่องเลยครับ เช่น เรื่องการทำงานพิเศษ ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ผมยังอยู่ที่นาโกย่า ผมทำงานพิเศษที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครับ ช่วงนั้นตอนที่โควิดเริ่มระบาดรุนแรงขึ้นทางร้านก็ต้องปรับตัวหลายอย่างเลยครับ เช่นให้พนักงานสวมแมสตลอดเวลา ใช้แอลกอฮอร์เช็ดทำความสะอาดพวกอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา ให้ลูกค้านั่งแยกกันเป็นต้นครับ แล้วพอหลังจากที่ย้ายมาที่คาวาซากิ สถานการณ์ก็เริ่มรุนแรงขึ้น จากตอนแรกที่ผมตั้งใจว่าจะหางานพิเศษทำด้วยเล็กน้อย เลยเปลี่ยนแผนกลายเป็นไม่ได้ทำครับ เพราะว่าที่บ้านเป็นห่วงไม่อยากให้ไปเจอคนเยอะๆครับ เอาจริงๆก็แอบเสียดายเหมือนกันครับ แต่ก็เข้าใจความเป็นห่วงของที่บ้านครับ
และเรื่องนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่องการใส่แมสครับ!! อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงปัญหาเรื่องการใส่แล้วอึดอัดหรืออะไรนะครับ แต่ผมหมายถึงเรื่องการสื่อสารครับ ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเป็นเหมือนผมรึป่าวนะครับ สำหรับทั้งเสียงที่มันเบาลงจากปกติและการที่เรามองไม่เห็นปากของผู้พูด มันทำให้การฟังภาษาญี่ปุ่นยากขึ้นเยอะเหมือนกันครับ และที่ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆที่นอกจากใส่แมสแล้วบางที่ยังมีแผ่นพลาสติกใสๆกั้นไว้ด้วย ยิ่งเพิ่มความยากในการฟังเข้าไปอีกครับ 5555 เวลาคุยกันผมนี่แทบจะเอาหน้าไปแนบแผ่นพลาสติกนั่นเลยครับ เพราะว่าไม่ค่อยได้ยินเสียง 555555
อีกเรื่องนึงที่เปลี่ยนจากตอนก่อนมีโควิดคือ ผมทำกับข้าวกินเองบ่อยขึ้นครับ เพราะไม่ค่อยอยากออกไปเสี่ยงข้างนอกเท่าไหร่ เลยมักจะออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ตมาตุนไว้ทีละเยอะๆ แล้วก็ทยอยทำกับข้าวกินครับ จริงๆการทำกับข้าวกินเองนี่ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะมากเลยนะครับ เคล็ดลับของผมก็คือเวลาซื้อพวกเนื้อสัตว์มา ให้เราแยกใส่ถุง Zip lock สำหรับการทำอาหารแต่ละครั้งไว้ครับ (ถุง Zip lock สามารถหาได้ตามร้าน 100 เยนทั่วไปเลยครับ มีหลากหลายขนาดให้เลือก) แบ่งแล้วก็เอาไปแช่ช่องฟรีสไว้ครับ พอจะใช้ก็เอาออกมาละลายทีละอัน แบบนี้จะทำให้เก็บเนื้อสัตว์ไว้ได้นานมากเลยครับ ส่วนใหญ่เวลาผมทำกับข้าวก็จะทำแบบง่ายๆครับ เอาเนื้อสัตว์มาผัดกับพวกซอสปรุงรสต่างๆ ใส่กระเทียม ใส่ผักที่อยากกินลงไป ปรุงรสนิดหน่อยก็โอเคแล้วครับ ผมเน้นอิ่ม ไม่เน้นอร่อยมาก 555 หรือใครที่คิดถึงอาหารไทย ก็ไปซื้อพวกผงปรุงรสหรือเครื่องปรุงของไทยมาทำก็ได้ครับ มีขายตามพวกร้านขายของเอเชียทั่วไป ยิ่งถ้าใครอยู่ตามเมืองใหญ่ๆมีขายแน่นอนครับ แล้วก็เวลาทำกับข้าวครั้งนึง ผมจะชอบทำทีละเยอะแล้วใส่กล่องซุปเปอร์แวร์แบ่งเป็นมื้อๆไว้ครับ เหตุผลก็คือผมขี้เกียจทำกับข้าวแล้วต้องล้างบ่อยๆครับ 5555
ผมจะชอบซื้อเนื้อหมูมาทีเดียวเยอะๆครับ เพราะว่ามันถูก แล้วก็เอามาแบ่งใส่ถุงซิบล็อคแช่ช่องฟรีสไว้ครับ
ของที่ซื้อบ่อยๆครับ พวกไส้กรอก ผักสลัด ขนมปังแผ่น น้ำผลไม้ต่างๆ
ตัวอย่างอาหารที่ผมทำบ่อยๆครับ พวกผัดผักใส่เนื้อสัตว์แบบง่ายๆ ต้มจืด แซนวิช (โดยเฉพาะแซนวิชนี่ทำบ่อยมากครับ เพราะว่าทำง่ายเก็บง่าย แถมยังอร่อยด้วยครับ)
ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น
ช่วงนี้สถานการณ์โควิดในประเทศญี่ปุ่นรุนแรง รัฐบาลญี่ปุ่นขอความร่วมมือให้คนงดออกจากบ้าน ตอนนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินเชยคนละ 100,000 เยน กับทุกคนครับ ย้ำว่าทุกคน!!! แม้กระทั่งคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นตอนนั้นก็ได้รับครับ (คนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนะครับ ไม่ใช่คนที่มาเที่ยว) ตอนนั้นผมก็ได้เงินก่อนนี้มาเหมือนกันครับ ได้มาโดยไม่ต้องไปแย่งหรือไปลุ้นชิงโชคอะไรเลยครับ (ไม่เหมือนประเทศบางประเทศที่ขนาดเป็นพลเมืองในประเทศแท้ จะได้การชดเชยอะไรจากรัฐแต่ละทียากเย็นแสนเข็น…) แค่รออยู่ที่บ้านทางรัฐบาลก็จะจัดสั่งเอกสารมาให้เองครับ ส่งมาให้กรอกข้อมูลบัญชีธนาคารนิดหน่อย แล้วก็เอาไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ แล้วก็รอรับเงินได้เลยครับ (รัฐบาลจะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้ครับ) โดยเงิน 100,000 เยนก้อนนี้จะเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ครับ จะเอาไปซื้ออะไรก็ได้ ไม่ได้มีข้อกำหนดครับ
อันนี้เป็นแมสที่รัฐบาลญี่ปุ่นส่งมาให้ที่บ้านครับ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้แกะเลยครับ เก็บไว้เป็นที่ระลึก 555
ช่วงโควิดที่ญี่ปุ่นยังออกไปเที่ยวข้างนอกได้อยู่รึป่าว?
คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ยังออกไปเที่ยวข้างนอกตามปกติครับ อาจจะมีบ้างบางช่วงที่รัฐบาลประกาศขอความร่วมมืองดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น ช่วงที่มีประกาศคนก็จะออกไปเที่ยวกันน้อยลงครับ (ไว้เดี๋ยวผมจะมาเขียนเกี่ยวกับการการไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นแยกออกมาอีกทีนะครับ)
ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ชีวิตในแต่ละวันช่วงนี้ทำอะไรบ้าง
จริงๆด้วยความดวงซวยของผม (เป็นคนที่ดวงซวยมาตั้งแต่เกิดละครับ TT) ช่วงที่ผมย้ายมาโรงเรียนใหม่เป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักพอดีครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนครับ อยู่แต่ในห้องซะเป็นส่วนใหญ่ (ช่วงนั้นโรงเรียนให้เรียนแบบออนไลน์ด้วยครับ เลยแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยTT) ตื่นเช้ามาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็เรียนครับ เรียนเสร็จก็พักผ่อน หาอะไรดูใน YouTube Netflix ไปเรื่อยครับ เช่นพวก anime series ต่างๆ (ผมมีเขียนรีวิวเกี่ยกับการ์ตูนญี่ปุ่นน่าดูใน Netflix ไว้ด้วย ใครสนใจลองไปอ่านกันดูได้นะครับ) แล้วก็จะทบทวนบทเรียน ทำการบ้าน อ่านเนื้อหาที่จะอ่านวันถัดไปเตรียมไว้ ประมานนี้ครับ แต่จะให้อยู่แต่ในห้องตลอดก็คงไม่ไหวครับ เบื่อตายเลย TT บางวันเบื่อๆ ผมก็จะออกไปเดินเล่นข้างนอกแถวๆที่พักบ้างครับ ออกไปเดินเล่น ฟังเพลง เปลี่ยนบรรยากาศครับ โชคดีตรงที่ใกล้ที่พักผมมีแม่น้ำใหญ่อยู่ครับ บรรยากาศริมแม่น้ำดีมากกกกครับ จะชอบมีคนไปนั่งเล่น หรือไปวิ่งออกกำลังแถวนั้นกันเยอะเลยครับ แล้วก็ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจะเป็นลานกว้างๆ สำหรับเอาไว้เล่นเบสบอลครับ ช่วงเย็นบางวัน หรือช่วงวันหยุดจะมีวัยรุ่นญี่ปุ่นมาเล่นกันเต็มเลยครับ อ้อแล้วก็ข้างๆลานเบสบอลมีลานเอาไว้ให้ไดร์ฟกอล์ฟด้วยครับ เห็นแล้วอิจฉาอยากให้ที่ประเทศไทยมีพื้นที่อย่างนี้บ้างครับ TT
สองรูปข้างบนเป็นรูปบรรยากาศริมแม่น้ำครับ บรรยากาศดีมากครับร่มรื่นมาก ตอนเย็นๆถ้ามีเวลาผมชอบออกไปเดินเล่นแล้วก็นั่งชิวๆแถวริมแม่น้ำมากครับ
ส่วนสองรูปนี้เป็นรูปลานกว้างติดแม่น้ำที่เอาไว้เล่นเบสบอลกับไดร์ฟกอล์ฟครับ พอไปเห็นภาพแบบนี้แล้วนึกย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรามันรู้สึกเศร้าใจเหมือนกันนะครับ ว่าทำไมคนไทยเราถึงไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีแบบนี้บ้าง…
รูปนี้แถมครับ เป็นรูปน้องแมวที่ชอบมานอนอยู่แถวโรงเรียนครับ 😺
พอผ่านไปซักพักหลังจากที่ย้ายโรงเรียนมาสถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้นครับ ได้ไปเรียนที่โรงเรียน ไปเจอเพื่อนๆ ช่วงนี้ก็เลยได้ออกไปข้างนอกบ่อยอยู่ครับ (เก็บกดด้วยแหละครับ ก่อนหน้านี้หมกตัวอยู่แต่ในห้อง 555) ด้วยความที่โรงเรียนผมตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟคาวาซากิ แถวนั้นคนอาศัยอยู่ค่อนเยอะครับ เป็นเมืองที่ใหญ่พอสมควร รอบๆเลยเต็มไปด้วยห้างต่างๆมากมายเลยครับ (เป็นสาเหตุให้ผมเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ 555) เพราะงั้นไม่ต้องกลัวเลยครับว่าจะไม่มีที่ให้ไป
รูปนี้เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนั้นครับ เป็นห้างที่บรรยากาศเหมือนเมกะบางนามากครับ 5555 ด้วยความที่ห้างนี้อยู่ใกล้ที่พักผม ทำให้ผมไปเดินบ่อยมากครับ ไปช็อปปิ้ง ซื้อของกินของใช้ต่างๆ ชั้นล่างของห้างมีซุปเปอร์มาเก็ตที่ใหญ่มากกก มีของขายครบเกือบทุกอย่างเลยครับสะดวกมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากและก็ไปบ่อยมากก็คือร้านหนังสือครับ ห้างนี้จะมีร้านหนังสือขนาดใหญ่มากอยู่ร้านนึงครับ สำหรับคนรักหนังสือมันคือสวรรค์ดีๆนี่เองครับ เวลาว่างๆผมชอบไปเดินดูหนังสือครับ มีหนังสือครบทุกประเภทเลยครับ หนังสือ JLPT ก็มีครับ ผมหมดเงินไปกับร้านหนังสือร้านนี้เยอะเหมือนกันครับ ถือคติ ซื้อไว้ก่อนอุ่นใจ อ่านจบตอนไหนไว้ว่ากันอีกที 55555
พิมพ์ไปพิมพ์มาเริ่มยาวอีกละ เพื่อไม่ให้ยาวเกินไปแล้วอ่านยาก ผมขอจบ
ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 2)
ไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวว่างๆ ผมมาเล่าต่อใน ตอนที่ 3 นะครับ อย่าลืมติดตามกันนะคร้าบบบ
อ่านบทความเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ https://japantoprank.com/