คำศัพท์ญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา

    สวัสดีครับ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆที่เรียนภาษาญี่ปุ่นหลายคนน่าจะมีปัญหาและสับสนเวลาที่ต้องใช้พวก คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา กันใช่ไหมครับ เพราะในชีวิตประจำวัน เรามักจะโดนถามคำถามหรือต้องพูดเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เช่น เวลาโดนถามว่าตอนไหน เมื่อไหร่ กี่โมง หรือจะชวนเพื่อนไปเที่ยว ก็ต้องนัดหมายเรื่องเวลากันอยู่ดี สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจและไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่เรียนภาษาญี่ปุ่นก็ผ่านปัญหานี้กันมาทั้งนั้น (รวมทั้งผมด้วย) เพื่อให้เราใช้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น วันนี้เรามาเรียนคำศัพท์เกี่ยวกับเวลาในภาษาญี่ปุ่นกันครับ

    ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าคำศัพท์ในภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับเวลานั้นมีเยอะมากกก แต่บางคำก็ไม่ค่อยได้ใช้ครับ เหมือนอย่างในภาษาไทยของเรา ก็มีคำศัพท์ที่เกี่ยวกับเวลาเยอะมากเช่นกันใช่ไหมครับ อย่างเช่น เช้า สาย บ่าย เย็น เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ เดือนหน้า ประเดี๋ยว ซักครู่ ชั่วพริบตา พลบค่ำ โพล้เพล้ ชั่วเคี้ยวหมากแหลก ชั่วนาตาปีฯ เยอะมากๆครับ ถ้าให้พิมพ์ทั้งหมดคงจะไม่ไหว ถ้าเพื่อนๆลองสังเกตดู จะเห็นได้ว่าบางคำบอกเวลาในภาษาไทย เราก็ไม่ค่อยได้ใช้กันใช่ไหมครับ เช่น ชั่วเคี้ยวหมากแหลก ปัจจุบันน่าจะไม่ค่อยมีใครใช้แล้วนะครับ ตัวผมเองก็ยังไม่เคยใช้เลยซักครั้ง 555 ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเองก็เหมือนกันครับ ในบรรดาคำศัพท์เกี่ยวกับเวลามากมาย คำที่ใช้จริงๆในชีวิตประจำวันมันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปครับ วันนี้ผมจะมาสอนเฉพาะคำที่ใช้บ่อยๆและควรต้องจำเท่านั้นครับ คำอื่นๆถ้าใครสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูได้นะครับ ยังไงการรู้เยอะไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ดีแน่นอนครับ


ชั่วโมง นาที วินาที

ผมขอไม่ลงรายละเอียดมากในส่วนของการบอกเวลา ว่ากี่โมง กี่นาที กี่วินาที ไปนะครับ เพราะเชื่อว่าทุกคนน่าจะเรียนกันมาเยอเะพอสมควรแล้ว

 

มาเริ่มกันที่ชั่วโมงกันเลยครับ คนญี่ปุ่นนิยมบอกเวลากันด้วยระบบ 12 ชั่วโมงครับ ก็คือแบ่งเป็นช่วง 午前(A.M.)และ 午後(P.M.)นั่นเองครับ

สำหรับการบอกเวลาก็สามารถใช้ตัวเลขแล้วตามด้วย คำว่า 時 (่じ) ได้เลยครับ

*โดยมีข้อควรระวังก็คือเวลาที่ผมใส่สีแดงไว้ครับ

1 A.M. (ตี 1 )/ 1 P.M. (บ่ายโมง)                             一時                              いちじ

2 A.M. (ตี 2) / 2 P.M. (บ่าย 2)                                二時                           にじ

3 A.M. (ตี 3) /  3 P.M. (บ่าย 3)                               三時                             さんじ

4 A.M. (ตี 4) / 4 P.M. (4 โมงเย็น)                           四時                             よじ                               

5 A.M. (ตี 5) / 5 P.M. (5โมงเย็น)                            五時                           ごじ

6 A.M. (6 โมงเช้า) / 6 P.M (6 โมงเย็น)                   六時                           ろくじ

7 A.M. (7 โมงเช้า) / 7 P.M (1 ทุ่ม)                          七時                             しちじ                           

8 A.M.(8 โมงเช้า) / 8 P.M (2 ทุ่ม)                           八時                             はちじ

9 A.M. (9 โมงเช้า) / 9 P.M (3 ทุ่ม)                          九時                             くじ                            

10 A.M. (10 โมงเช้า) / 10 P.M (4 ทุ่ม)                    十時                            じゅうじ

11 A.M. (11 โมงเช้า) / 11 P.M (5 ทุ่ม)                    十一時                         じゅういちじ

12 A.M. (เที่ยงวัน) / 12 P.M (เที่ยงคืน)                   十二時                         じゅうにじ

เวลาจะนัดหมายเวลากัน แนะนำให้ระบุว่าเป็น 午前 หรือ 午後 ด้วยนะครับ จะได้ไม่สับสน

เช่น 8 โมงเช้า ก็คือ 午前八時 (ごぜんはちじ) / สองทุ่มคือ 午後八時 (ごごはちじ)

*ใช้เป็นตัวเลขตามปกติเลยก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องใช้คันจิก็ได้ครับ

 

ส่วนข้างล่างนี้เป็นคำศัพท์ในส่วนของ นาที และ วินาที ครับ

ง่ายๆครับ ใช้เหมือนชั่วโมงเลยครับ คือเอาตัวเลขมาต่อด้วยคำที่แปลเวลา นาที และ วินาที นั่นเองครับ

สิ่งที่อยากให้ระวังก็คือคำอ่านครับ ผมพิมพ์ไว้ให้ข่างล่างแล้ว ค่อยๆจำนะครับ ^^

1 นาที                     一分                     いっぷん
2 นาที                     二分                     にふん
3 นาที                     三分                     さんぷん
4 นาที                     四分                     よんぷん
5 นาที                     五分                     ごふん
6 นาที                     六分                     ろっぷん
7 นาที                     七分                     ななふん
8 นาที                     八分                     はっぷん
9 นาที                     九分                     きゅうふん
10 นาที                   十分                     じゅっぷん
กี่นาที                      何分                     なんぷん

1 วินาที                    一秒                     いちびょう
2 วินาที                    二秒                     にびょう
3 วินาที                    三秒                     さんびょう
4 วินาที                    四秒                     よんびょう
5 วินาที                    五秒                     ごびょう
6 วินาที                    六秒                     ろくびょう
7 วินาที                    七秒                     ななびょう
8 วินาที                    八秒                     はちびょう
9 วินาที                    九秒                     きゅうびょう
10 วินาที                  十秒                     じゅうびょう
กี่วินาที                     何秒                     なんびょう


วันที่

มาต่อกันที่วันที่ต่างๆกันในปฏิทินกันก่อนดีกว่าครับ วันที่ในภาษาญี่ปุ่นไม่ยากครับ ส่วนใหญ่ก็จะอ่านตามวิธีการอ่านตัวเลขตามปกติครับ แต่จะมี วันที่ 1 – 10 วันที่ 14, 20 และ 24 ที่มีวิธีอ่านแบบพิเศษครับ ผมเขียนทั้งหมดไว้ให้ในรูปด้านล่างแล้วครับ ลองค่อยๆฝึกจำกันไปนะครับ

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา

มาต่อกันที่เดือนต่างๆในภาษาญี่ปุ่นครับ

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา

เดือนในภาษาญี่ปุ่นง่ายมากครับ ก็คือใช้เป็นเดือนที่ 1 2 3…ไปเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่ 12 เลยครับ ไม่ได้มีชื่อที่ต้องจำเป็นพิเศษ (อันที่จริงเดือนของญี่ปุ่นเองก็มีชื่อเฉพาะสำหรับแต่ละเดือนเหมือนกันครับ แต่ว่าในปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว ถือเป็นบุญของพวกเรานะครับ เพราะว่าจำยากพอสมควรเลย 5555 ใครสนใจเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้เลยนะครับ มีคนรวบรวมข้อมูลไว้ให้แล้วครับ ความเป็นมาของชื่อเดือนญี่ปุ่นแบบโบราณ) ที่ผมอยากให้ระวังนิดนึงก็คือคำอ่านของเดือนที่ 4, 7 และ 9 ครับ เดือนที่ 4 อ่านว่า しがつ นะครับไม่ใช่ よんがつ เดือนที่ 7 อ่านว่า しちがつ ไม่ใช่  なながつ และเดือนที่ 9 อ่านว่า くがつ ไม่ใช่ きゅうがつ หลายคนจะชอบจำผิด ระวังตรงนี้ไว้ด้วยนะครับ

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา

สำหรับคำศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวกับ “วัน” ในภาษาญี่ปุ่นที่ควรจำมีประมาณนี้ครับ ทุกคนน่าจะเคยเรียนกันมาแล้วใช่ไหมครับ

จะมีจุดที่ต้องระวังก็คือคำอ่านของแต่ละคำนั่นเองครับ ถ้าเพื่อนๆสังเกตุดีๆจะเห็นมาบางคำเขียนด้วยคันจิตัวเดียวกัน แต่มีคำอ่านหลายแบบใช่ไหมครับ เช่น 今日 อ่านได้ทั้ง きょう และ こんにち, 明日 อ่านได้ทั้ง あした, あす และ みょうにち

สาเหตุที่อ่านได้หลายแบบ เพราะว่าวิธีอ่านแต่ละแบบใช้ในสถานการณ์ไม่เหมือนกันนั่นเองครับ วิธีจำง่ายๆเลยนะครับ คำอ่านอันแรกหรือคำอ่านพื้นฐานที่พวกเราทุกคนเรียนกันมา 一昨日(おととい), 昨日(きのう), 今日(きょう), 明日(あした) และ 明後日(あさって) เป็นวิธีอ่านที่ใช้ตอนพูดคุยทั่วไป ที่ไม่ได้เป็นทางการ เช่น คุยกับคนในครอบครัว เพื่อน เป็นต้น ส่วนคำอ่านอื่นๆ เป็นคำอ่านที่ใช้ในสถาการณ์ที่เป็นทางการครับ เช่น ใช้ตอนประกาศ ใช้ในการทำงาน ใช้ตอนที่ต้องการให้ฟังดูสุภาพ เป็นต้น

มีจุดที่อยากให้ระวังอยู่จุดนึงครับ คือ 今日 (きょう) ที่แปลว่าวันนี้ ภาษาทางการคือ 本日 (ほんじつ) ครับ ส่วน 今日 ที่อ่านว่า こんにち จะเป็นอีกความหมายหนึ่ง ที่แปลประมานว่า ช่วงนี้ สมัยนี้ หรือหมู่นี้ ครับ ความหมายคล้ายๆ 近頃 (ちかごろ) กับ この頃 (このごろ)

ตัวอย่าง 

  1. 今日(きょう)、友達と映画を見に行った。วันนี้ไปดูหนังกับเพื่อนมา
  2. 今日(こんにち)では、若い人はみんなスマホを持っている。สมัยนี้เด็กวัยรุ่นมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนกันทุกคน

 

ส่วนข้างล่างนี้เป็นคำศัพท์เกี่ยวกับวันที่ใช้บ่อยเหมือนกันครับ

วันรุ่งขึ้น/วันถัดมา/วันต่อมา

翌日(よくじつ)

後日(ごじつ)

วันก่อนหน้า

前日(ぜんじつ)

วันธรรมดา

平日(へいじつ)

วันหยุด

休日(きゅうじつ)

วันหยุดนักขัตฤกษ์

祝日(しゅくじつ)

วันหยุดยาวต่อเนื่อง

連休(れんきゅう)

 

ต่อไปเป็นคำศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวกับ สัปดาห์ เดือน และ ปี ในภาษาญี่ปุ่นที่ควรจำครับ เพื่อนๆสามารถดูตามรูปข้างล่างที่ผมใส่ไว้ให้ได้เลยนะครับ

ภาษาญี่ปุ่น สัปดาห์

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา “สัปดาห์”

ญี่ปุ่นเกี่ยว เดือน

คำศัพท์เกี่ยวกับ “เดือน”

ต้นเดือน (ประมาณวันที่ 1 – 10)

上旬(じょうじゅん)

กลางเดือน (ประมาณวันที่ 11 – 20)

中旬(ちゅうじゅん)

ปลายเดือน (ประมาณวันที่ 21 – 30/31)

下旬(げじゅん)

แล้วก็ผมแนะนำให้จำคำเหล่านี้ไปด้วยเลยก็ดีครับ เพราะว่าใช้บ่อยเหมือนกันครับ

คำศัพท์เกี่ยวกับ “ปี”

ระวังเรื่องคำอ่านของ 今年 ที่แปลว่าปีนี้ไว้นิดนึงนะครับ หลายคนชอบอ่านผิด อ่านมา ことし นะครับ ไม่ใช่ こんねん

แต่!!! คำนี้ 今年度 อ่านว่า こんねんど นะครับ (ใจเย็นนะครับ อย่าพึ่งหัวร้อนแล้วปิดไปนะครับ 555 อันนี้ผมเสริมให้เฉยๆครับ ใครที่ยังไม่อยากจำข้ามไปก่อนก็ได้ครับ) เนื่องจากว่าคำนี้คือ 年度 (ねんど) ที่แปลว่า ปีงบประมาณ และต้องการจะขยายว่าเป็น ปีงบประมาณนี้ เลยเป็น 今年度 (こんねんど) ครับ

 

ต่อไปเป็นคำศัพท์เสริมเกี่ยวกับวันที่และเวลาที่ผมอยากให้จำเพิ่มเติมครับ

ช่วงเวลา

อดีต

過去(かこ)

ปัจจุบัน

現在(げんざい)

อนาคต

未来(みらい)/ 将来(しょうらい)

ความแตกต่างของ 未来 กับ 将来 ทั้ง 2 คำนี้แปลว่า อนาคต เหมือนกัน แต่ว่าใช้ต่างกันครับ

将来(しょうらい)คือ อนาคตอันใกล้ (อนาคตที่กำลังจะมาถึง) เวลาที่เราจะพูดถึงอนาคตของตัวเราหรือใครซักคนเราจะใช้คำนี้ครับ

เช่น 私は将来、医者になりたい。อนาคตฉันอยากเป็นหมอ

未来(みらい)คือ อนาคตที่ไกลตัวเรามากๆ ร้อยปี พันปีข้างหน้า ไม่ใช่เวลาพูดถึงอนาคตของตัวเอง

เช่น ドラえもんは未来から来たネコロボットです。โดราเอมอนเป็นหุ่นยนต์แมวที่มาจากอนาคต

จนถึงตอนนี้ (จากอดีตจนถึงปัจจุบัน)

従来(じゅうらい)

 

…เว้น…

วันเว้นวัน

隔日(かくじつ)

สัปดาห์เว้นสัปดาห์

隔週(かくしゅう)

เดือนเว้นเดือน

隔月(かくげつ)

ปีเว้นปี

隔年(かくねん)

 

วันหยุดและวันนักขัตฤกษ์ของญี่ปุ่น 

หัวข้อนี้จริงๆไม่ต้องจำก็ได้ครับ ผมแค่ใส่เอาไว้เผื่อว่ามีใครที่สนใจวันหยุดของญี่ปุ่น ผมจะใส่เฉพาะวันสำคัญๆที่พวกเราน่าจะได้ยินบ่อยๆนะครับ

JAN 1 วันขึ้นปีใหม่ (อันนี้ของไทยก็ใช้ได้นะครับ)

元日(がんじつ)

2nd Monday of JAN วันบรรลุนิติภาวะ

成人の日(せいじんのひ)

FEB 11 วันชาติ

建国記念日(けんこくきねんび)

MAY 3 วันรัฐธรรมนูญ

憲法記念日(けんぽうきねんび)

MAY 5 วันเด็ก

子供の日(こどものひ)

3rd Monday of SEP วันเคารพผู้สูงอายุ

敬老の日(けいろうのひ)

NOV 23 วันขอบคุณผู้ใช้แรงงาน

勤労感謝の日(きんろうかんしゃのひ)

 

เป็นไงบ้างครับทุกคน สำหรับบทความ “คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา” ที่ผมสรุปมาให้ อาจจะไม่ได้ครบถ้วนแบบ 100% แต่ผมก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนไม่มากก็น้อยนะครับ 🥰

อ่านบทความเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ https://japantoprank.com/

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 2)

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 2)

สวัสดีครับทุกคนสำหรับคนที่อ่าน ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ตอนที่ 1 จบแล้ว มาอ่านตอนที่ 2 ต่อกันเลยกว่าครับ สำหรับตอนนี้จะเป็นเรื่องหลังจากที่ผมย้ายโรงเรียนจากนาโกย่ามาที่คาวาซากิแล้วนะครับ

ทำไมถึงย้ายโรงเรียน?

    จากตอนแรกที่ผมเกริ่นไปแล้วว่า 1 ปีที่ผมไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น ผมไปเรียนมา 2 โรงเรียน หลายๆคนอ่านแล้วคงจะสงสัยกันว่าทำไมผมไม่เรียนที่เดียวให้ครบ 1 ปีไปเลย เรื่องนี้พอดีว่ามันผิดแผนที่จากผมวางไว้ตอนแรกนิดหน่อยครับ

จริงๆคือก่อนที่จะไปเรียนผมไม่ได้มีแพลนที่จะย้ายไปเรียนอีกที่นึงเลยครับ แพลนว่าจะเรียนที่นาโกย่า 1 ปี แต่ตอนนั้นมันมีปัญหานิดหน่อยครับ คือตอนที่ผมสอบวัดระดับเข้าเรียนที่นาโกย่า ผมได้เริ่มเรียนในคอร์สระดับที่ค่อนข้างสูง พอเริ่มเรียนไปแล้วก็คุยกับทางโรงเรียน ปรากฏว่าถ้าเรียนตามคอร์สนี้ต่อไปเรื่อยๆ พอหลังจากครบ 6 เดือน คอร์สระดับต่อไปมันจะเปิดไม่ได้ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนไม่พอ ถ้าจะเรียนโรงเรียนนี้ต่อก็ต้องเรียนคอร์สระดับเดิมซ้ำไปอีก 6 เดือน รอจนนักเรียนในคลาสอื่นขึ้นมาถึงระดับที่ผมต้องการจะต่อ 😱😱😱

ซึ่งตอนนั้นผมมองว่าการต้องเรียนคอร์สระดับเดิมซ้ำอีก 6 เดือนมันเสียเวลา และจากแผนเดิมที่ตั้งใจจะมาเรียนแค่ 1 ปี ก็จะกลายเป็น 1 ปี 6 เดือน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อที่โรงเรียนนี้และหาโรงเรียนอื่นที่มีคอร์สในระดับสูงแล้วเรียนต่ออีก 6 เดือนแทนครับ บอกเลยว่าการย้ายโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เพราะนอกจากต้องหาข้อมูลของโรงเรียนใหม่ที่จะย้ายไปแล้วยังต้องดำเนินเรื่องเอกสารต่างๆอีกหลายอย่าง บอกได้เลยว่าวุ่นวายเอาเรื่องเหมือนกันครับ

ตอนนั้นที่ผมจะทำเรื่องย้ายโรงเรียน ผมทักไปปรึกษากับทาง JEDUCATION ครับ ให้เค้าช่วยหาโรงเรียนแล้วก็ทำเรื่องย้ายให้ครับ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาดีมากครับ แนะนำว่าทั้งเรื่องโรงเรียน เรื่องที่พัก แล้วก็เรื่องเอกสารต่างๆที่ผมต้องเตรียมครับ ยังไงถ้าใครมีแพลนจะไปเรียนที่ญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี ลองไปปรึกษากับทาง JEDUCATION ดูก่อนก็ได้ครับ

อีกครั้งแล้วสินะที่ฉันต้องโยกย้าย

    พอถึงวันที่ต้องย้ายออกจริงๆก็ใจหายเหมือนกันครับ เหมือนเราเริ่มชินกับที่นี่แล้ว สนิทกับเซนเซในโรงเรียนหลายๆคนแล้วด้วย TT แต่ยังไงก็ต้องย้ายครับเพราะอยู่ต่อก็ไม่มีคอร์สให้เรียน 5555 ตอนนั้นผมย้ายจากที่นาโกย่าไปคาวาซากิครับ (คาวาซากิคือเมืองในจังหวัดคานากาว่าที่อยู่ติดกับโตเกียวครับ) ตอนที่ผมย้ายผมนั่งรถบัสไปครับนั่งจากนาโกย่าไปลงที่โตเกียว แล้วก็ต่อรถไฟจากโตเกียวไปคาวาซากิอีกทีครับ ใครที่ยังไม่เคยเดินทางในญี่ปุ่นโดยใช้รถบัสผมแนะนำให้ลองดูครับ อาจจะไม่ได้เร็วเท่าพวกรถไฟชินคันเซ็น แต่ราคาถูกและสะดวกมากครับ (บนรถบัสมี wifi ให้ใช้ แล้วก็มีที่เสียบชาร์ตโทรศัพท์ด้วยครับ) รถบัสญี่ปุ่นออกตรงเวลาแล้วก็ไปถึงจุดหมายแบบตรงเวลาด้วยนะครับ ใครซื้อตั๋วเวลาไหนไว้ก็เผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับเดี๋ยวตกรถ

อ้อแล้วก็เรื่องสัมภาระ เผื่อมีคนสงสัยว่าผมขนไปยังไง ลากไปทีเดียวหมดเลยหรอ ด้วยความที่ของส่วนตัวผมไม่ได้เยอะมากครับ ที่เยอะก็คือพวกหนังสือครับ ผมเลยแบ่งเป็น 2 ส่วนครับ พวกของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า ผมจัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 1 ใบ กระเป๋าหิ้ว 1 ใบ แล้วก็กระเป๋าสะพายหลังอีก 1 ใบ ส่วนนี้คือของที่ผมแบกไปด้วยตัวเองตอนที่ย้ายครับ อีกส่วนนึงคือพวกหนังสือ ชีทเรียนต่างๆครับ ซึ่งเยอะและหนักมากก ผมไปซื้อกล่องที่ไปรษณีย์เพื่อเอามาแพ็คของใส่ แล้วส่งตามไปทีหลังครับ (ตอนนั้นผมวานให้พี่คนไทยอีกคนที่เค้ายังอยู่ที่นาโกย่าต่อเป็นคนส่งให้ครับ)

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประมานนี้ครับสัมภาระของผมตอนนั้น นอกจากในรูปก็จะมีกระเป๋าสะพายหลังอีกใบครับ

    ผมเดินทางไปถึงก่อนวันที่นัดกับโรงเรียนใหม่ 1 วันครับ แล้วก็ไปนอนพักโรงแรมถูกๆแถวโรงเรียนใหม่คืนนึงครับ (เป็นห้องคล้ายๆโรงแรมแคปซูน) ที่ผมเลือกไปถึงก่อนวันนึงก็เพราะจากที่ผมคำนวณตอนนั้น ถ้าจะไปถึงเช้าวันที่นัดเลยมี 2 ทางครับ

1. นั่งชินคันเซ็นจากนาโกย่าไปคาวาซากิเลย วิธีนี้แพงครับผมเลยตัดทิ้ง (แพงกว่าค่ารถบัสรวมค่าโรงแรมคืนนึงอีกครับ)

2. นั่งรถบัสกลางคืนจากนาโกย่าแล้วไปถึงคาวาซากิตอนเช้า (วิธีนี้ดูเหนื่อยผมก็เลยตัดทิ้งเช่นกันครับ 555)

แล้วก็อีกเหตุผลนึงคือผมกลัวหลงครับ เลยอยากไปถึงก่อนแล้วก็ไปเดินสำรวจสถานที่กันไว้ก่อน 😅 ตอนนั้นพอไปถึงผมก็ไปเช็คอินที่โรงแรม เอาสัมภาระต่างๆไปเก็บ แล้วก็ลองเดินไปสำรวจสถานที่ของโรงเรียนไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เดินเล่นแถวโรงแรม หาข้าวกินครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

    รูปโรงแรมที่ผมไปพักตอนนั้นครับ เป็นห้องเล็กสำหรับนอนได้ 1 คนครับ แล้วก็มีห้องน้ำกับห้องอาบน้ำรวมให้ มีสบู่ แชมพู ครีมนวด ไดร์เป่าผมให้พร้อมเลยครับ (โรงแรมแบบนี้ส่วนใหญ่จะมีแยกเป็น ชั้นที่เป็นห้องผู้ชาย ชั้นที่เป็นห้องผู้หญิง และชั้นแบบรวมหญิงชาย แล้วก็จะมีระบุว่าเป็นห้องแบบสูบบุหรี่ได้หรือไม่ได้ ตอนจะจองอ่านให้ละเอียดนะครับ)

   วันแรกที่เข้าไปโรงเรียน ทางโรงเรียนพาผมไปห้องพักเพื่อเก็บของก่อนครับ อ้อผมลืมบอกโรงเรียนที่ผมย้ายมาชื่อ CBC (College of Business and Communication) ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ 外語ビジネス専門学校 ครับ ซึ่งโรงเรียนนี้มีหอพักของโรงเรียนเองครับ และหอพักของโรงเรียนอยู่ตึกเดียวกับโรงเรียนเลยครับ!! อย่าว่าแต่ไม่ต้องเสียค่าเดินทางเลยครับ เรียกได้ว่าเดิน 1 นาทีถึงโรงเรียน 5555

พอเอาของไปเก็บที่ห้องเสร็จแล้วก็เหมือนเดิมครับคือ ทำข้อสอบวัดระดับก่อนเข้าเรียน ตอนนั้นหลังจากที่ผมเรียนที่นาโกย่าจบมา 6 เดือน ผมเรียนเนื้อหาของ N2 ไปแล้วครับ พอมาเรียนที่นี่เลยได้เรียนคอร์สที่สอนเนื้อหาของ N1 ครับ

    สำหรับโรงเรียนนี้ เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีเซนมงด้วยครับ (สำหรับรายละเอียดของโรงเรียน เข้าไปดูตาม Link นี้ได้เลยครับ) จุดเด่นที่ทำให้ผมเลือกโรงเรียนนี้คือ 1. จำนวนชั่วโมงเรียนที่เยอะกว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ครับ 2. มีวิชาเลือกให้ลงเรียนด้วยครับ (เช่น วิชาเขียนฝึกเขียนเรียงความ วิชาภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในธุรกิจ วิชาติวสอบ JLPT ระดับต่างๆ) 3. สถานที่ครับ โรงเรียนนี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟคาวาซากิเลยครับ เดินทางสะดวกมากก ไม่ว่าจะเดินทางเข้าโตเกียวหรือจะไปทางโยโกฮาม่าก็สะดวกมากครับ


ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี กับ โควิดตัวร้าย!!!

    ตอนที่โควิดระบาทหนักๆผมอยู่ในญี่ปุ่นพอดีครับ เรียกได้ว่าเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อนของผม 😭 ตอนช่วงที่ผมพึ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ สถานการณ์โควิดที่ญี่ปุ่นรุนแรงมากครับ ทำให้โรงเรียนตัดสินใจเปลี่ยนให้เรียนแบบออนไลน์แทน เอาจริงตอนนั้นก็แอบเฟลเหมือนกันครับ แบบเราอุตส่าห์ไม่กลับไทยแล้วย้ายโรงเรียนมาเรียน แต่กลายเป็นต้องเรียนแบบออนไลน์ TT

ใน ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 1) ผมลืมเขียนเรื่องโควิดไว้ ผมขอเอามาเพิ่มตรงนี้นิดนึงนะครับ

ตอนที่ผมอยู่นาโกย่าตอนนั้นโควิดก็เริ่มระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วเหมือนกันครับ มีช่วงนึงที่แมสขาดแคลนจนหาซื้อยากมากครับ ผมจำได้เลยว่าต้องไปยืนต่อแถวหน้าร้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ในหน้าหนาว (หนาวมากกก 🥶) เพื่อไปเอาบัตรคิวสำหรับซื้อแมส ผมไปต่ออยู่ประมาน 3-4 ครั้งได้ครับ แล้วก็โชคดีได้แมสแบบกล่องมา 3 กล่อง ทำให้ตอนที่ย้ายมาคาวาซากิ ผมไม่มีปัญหาเรื่องแมสเลยครับ

แต่พอเริ่มเรียนก็โอเคอยู่ครับ เนื่องจากโรงเรียนวางระบบการเรียนออนไลน์มาค่อนข้างดี ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรครับ ตอนนั้นถ้าจำไมผิดผมเรียนแบบออนไลน์ประมาณเดือนนึงได้ครับ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเรียนในห้องตามปกติ แต่ก็มีการวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวันก่อนเข้าเรียน (ใช้ที่วัดแบบยิงที่หน้าผาก) ระหว่างเรียนต้องสวมแมสตลอดเวลาแล้วก็ให้นั่งโต๊ะละคนเพื่อเว้นระยะห่างครับ (ถึงสุดท้ายตอนช่วงพักทุกคนก็มักจะเดินมาเล่นกันก็เถอะครับ 555)

ซึ่งผมเป็นคนที่มีปัญหากับเรื่องการวัดอุณหภูมิก่อนเข้าเรียนบ่อยมากครับ 5555 คือที่โรงเรียนเค้าจะตั้งกฎไว้ว่าห้ามอุณหภูมิร่างกายสูงเกินประมาน 37 องศาครับ (ผมจำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ครับ ประมาน 37 ไม่ก็ 37 ต้นๆ) แล้วผมเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายปกติค่อนข้างสูง (เวลามีคนมาจับตัวจะชอบบอกว่าผมตัวอุ่นๆ) บวกกับเวลาที่เดินไปโรงเรียนตอนเช้าบางทีแดดมันร้อนครับ (ตอนนั้นเป็นช่วงอากาศกำลังร้อนพอดีครับ) เวลาวัดอุณหภูมิทีไร เลขมันเลยออกมาเกินค่าที่เค้ากำหนดไว้บ่อยมากก แล้วพอเกินเซนเซก็จะให้แยกตัวออกไปให้นั่งพักในห้องแอร์ก่อนแล้วให้วัดไข้แบบละเอียดอีกครั้งนึงโดยใช้ที่วัดแบบปรอท ผมเป็นคนนึงที่มีปัญหานี้บ่อยมากครับ หลังๆมาผมเลยไปให้เร็วขึ้นหน่อย เผื่อโดนกักไว้ จะได้ไม่ขึ้นไปเรียนสายครับ ผมเจอปัญหานี้หลายรอบจนเซนเซยังขำเลยครับ 5555 (จริงๆนอกจากผมก็ยังมีคนอื่นอีกครับ ที่มีปัญหาเรื่องนี้) แต่ผมเข้าใจทางโรงเรียนนะครับ และก็คิดว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่โรงเรียนตรวจแบบละเอียด จะได้ช่วยลดความเสี่ยงให้นักเรียนทุกคนได้ครับ

    ผลกระทบจากโควิดนอกจากเรื่องการเรียนแล้วก็ยังกระทบกับอีกหลายเรื่องเลยครับ เช่น เรื่องการทำงานพิเศษ ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ผมยังอยู่ที่นาโกย่า ผมทำงานพิเศษที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครับ ช่วงนั้นตอนที่โควิดเริ่มระบาดรุนแรงขึ้นทางร้านก็ต้องปรับตัวหลายอย่างเลยครับ เช่นให้พนักงานสวมแมสตลอดเวลา ใช้แอลกอฮอร์เช็ดทำความสะอาดพวกอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา ให้ลูกค้านั่งแยกกันเป็นต้นครับ แล้วพอหลังจากที่ย้ายมาที่คาวาซากิ สถานการณ์ก็เริ่มรุนแรงขึ้น จากตอนแรกที่ผมตั้งใจว่าจะหางานพิเศษทำด้วยเล็กน้อย เลยเปลี่ยนแผนกลายเป็นไม่ได้ทำครับ เพราะว่าที่บ้านเป็นห่วงไม่อยากให้ไปเจอคนเยอะๆครับ เอาจริงๆก็แอบเสียดายเหมือนกันครับ แต่ก็เข้าใจความเป็นห่วงของที่บ้านครับ

    และเรื่องนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่องการใส่แมสครับ!! อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงปัญหาเรื่องการใส่แล้วอึดอัดหรืออะไรนะครับ แต่ผมหมายถึงเรื่องการสื่อสารครับ ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเป็นเหมือนผมรึป่าวนะครับ สำหรับทั้งเสียงที่มันเบาลงจากปกติและการที่เรามองไม่เห็นปากของผู้พูด มันทำให้การฟังภาษาญี่ปุ่นยากขึ้นเยอะเหมือนกันครับ และที่ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆที่นอกจากใส่แมสแล้วบางที่ยังมีแผ่นพลาสติกใสๆกั้นไว้ด้วย ยิ่งเพิ่มความยากในการฟังเข้าไปอีกครับ 5555 เวลาคุยกันผมนี่แทบจะเอาหน้าไปแนบแผ่นพลาสติกนั่นเลยครับ เพราะว่าไม่ค่อยได้ยินเสียง 555555

    อีกเรื่องนึงที่เปลี่ยนจากตอนก่อนมีโควิดคือ ผมทำกับข้าวกินเองบ่อยขึ้นครับ เพราะไม่ค่อยอยากออกไปเสี่ยงข้างนอกเท่าไหร่ เลยมักจะออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ตมาตุนไว้ทีละเยอะๆ แล้วก็ทยอยทำกับข้าวกินครับ จริงๆการทำกับข้าวกินเองนี่ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะมากเลยนะครับ เคล็ดลับของผมก็คือเวลาซื้อพวกเนื้อสัตว์มา ให้เราแยกใส่ถุง Zip lock สำหรับการทำอาหารแต่ละครั้งไว้ครับ (ถุง Zip lock สามารถหาได้ตามร้าน 100 เยนทั่วไปเลยครับ มีหลากหลายขนาดให้เลือก) แบ่งแล้วก็เอาไปแช่ช่องฟรีสไว้ครับ พอจะใช้ก็เอาออกมาละลายทีละอัน แบบนี้จะทำให้เก็บเนื้อสัตว์ไว้ได้นานมากเลยครับ ส่วนใหญ่เวลาผมทำกับข้าวก็จะทำแบบง่ายๆครับ เอาเนื้อสัตว์มาผัดกับพวกซอสปรุงรสต่างๆ ใส่กระเทียม ใส่ผักที่อยากกินลงไป ปรุงรสนิดหน่อยก็โอเคแล้วครับ ผมเน้นอิ่ม ไม่เน้นอร่อยมาก 555 หรือใครที่คิดถึงอาหารไทย ก็ไปซื้อพวกผงปรุงรสหรือเครื่องปรุงของไทยมาทำก็ได้ครับ มีขายตามพวกร้านขายของเอเชียทั่วไป ยิ่งถ้าใครอยู่ตามเมืองใหญ่ๆมีขายแน่นอนครับ แล้วก็เวลาทำกับข้าวครั้งนึง ผมจะชอบทำทีละเยอะแล้วใส่กล่องซุปเปอร์แวร์แบ่งเป็นมื้อๆไว้ครับ เหตุผลก็คือผมขี้เกียจทำกับข้าวแล้วต้องล้างบ่อยๆครับ 5555

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ผมจะชอบซื้อเนื้อหมูมาทีเดียวเยอะๆครับ เพราะว่ามันถูก แล้วก็เอามาแบ่งใส่ถุงซิบล็อคแช่ช่องฟรีสไว้ครับ

 

ของที่ซื้อบ่อยๆครับ พวกไส้กรอก ผักสลัด ขนมปังแผ่น น้ำผลไม้ต่างๆ

ตัวอย่างอาหารที่ผมทำบ่อยๆครับ พวกผัดผักใส่เนื้อสัตว์แบบง่ายๆ ต้มจืด แซนวิช (โดยเฉพาะแซนวิชนี่ทำบ่อยมากครับ เพราะว่าทำง่ายเก็บง่าย แถมยังอร่อยด้วยครับ)

ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น

    ช่วงนี้สถานการณ์โควิดในประเทศญี่ปุ่นรุนแรง รัฐบาลญี่ปุ่นขอความร่วมมือให้คนงดออกจากบ้าน ตอนนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินเชยคนละ 100,000 เยน กับทุกคนครับ ย้ำว่าทุกคน!!! แม้กระทั่งคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นตอนนั้นก็ได้รับครับ (คนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนะครับ ไม่ใช่คนที่มาเที่ยว) ตอนนั้นผมก็ได้เงินก่อนนี้มาเหมือนกันครับ ได้มาโดยไม่ต้องไปแย่งหรือไปลุ้นชิงโชคอะไรเลยครับ (ไม่เหมือนประเทศบางประเทศที่ขนาดเป็นพลเมืองในประเทศแท้ จะได้การชดเชยอะไรจากรัฐแต่ละทียากเย็นแสนเข็น…) แค่รออยู่ที่บ้านทางรัฐบาลก็จะจัดสั่งเอกสารมาให้เองครับ ส่งมาให้กรอกข้อมูลบัญชีธนาคารนิดหน่อย แล้วก็เอาไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ แล้วก็รอรับเงินได้เลยครับ (รัฐบาลจะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้ครับ) โดยเงิน 100,000 เยนก้อนนี้จะเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ครับ จะเอาไปซื้ออะไรก็ได้ ไม่ได้มีข้อกำหนดครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี แมส แจกฟรี

อันนี้เป็นแมสที่รัฐบาลญี่ปุ่นส่งมาให้ที่บ้านครับ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้แกะเลยครับ เก็บไว้เป็นที่ระลึก 555

 ช่วงโควิดที่ญี่ปุ่นยังออกไปเที่ยวข้างนอกได้อยู่รึป่าว

    คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ยังออกไปเที่ยวข้างนอกตามปกติครับ อาจจะมีบ้างบางช่วงที่รัฐบาลประกาศขอความร่วมมืองดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น ช่วงที่มีประกาศคนก็จะออกไปเที่ยวกันน้อยลงครับ (ไว้เดี๋ยวผมจะมาเขียนเกี่ยวกับการการไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นแยกออกมาอีกทีนะครับ)

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ชีวิตในแต่ละวันช่วงนี้ทำอะไรบ้าง

    จริงๆด้วยความดวงซวยของผม (เป็นคนที่ดวงซวยมาตั้งแต่เกิดละครับ TT) ช่วงที่ผมย้ายมาโรงเรียนใหม่เป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักพอดีครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนครับ อยู่แต่ในห้องซะเป็นส่วนใหญ่  (ช่วงนั้นโรงเรียนให้เรียนแบบออนไลน์ด้วยครับ เลยแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยTT) ตื่นเช้ามาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็เรียนครับ เรียนเสร็จก็พักผ่อน หาอะไรดูใน YouTube Netflix ไปเรื่อยครับ เช่นพวก anime series ต่างๆ (ผมมีเขียนรีวิวเกี่ยกับการ์ตูนญี่ปุ่นน่าดูใน Netflix ไว้ด้วย ใครสนใจลองไปอ่านกันดูได้นะครับ) แล้วก็จะทบทวนบทเรียน ทำการบ้าน อ่านเนื้อหาที่จะอ่านวันถัดไปเตรียมไว้ ประมานนี้ครับ แต่จะให้อยู่แต่ในห้องตลอดก็คงไม่ไหวครับ เบื่อตายเลย TT บางวันเบื่อๆ ผมก็จะออกไปเดินเล่นข้างนอกแถวๆที่พักบ้างครับ ออกไปเดินเล่น ฟังเพลง เปลี่ยนบรรยากาศครับ โชคดีตรงที่ใกล้ที่พักผมมีแม่น้ำใหญ่อยู่ครับ บรรยากาศริมแม่น้ำดีมากกกกครับ จะชอบมีคนไปนั่งเล่น หรือไปวิ่งออกกำลังแถวนั้นกันเยอะเลยครับ แล้วก็ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจะเป็นลานกว้างๆ สำหรับเอาไว้เล่นเบสบอลครับ ช่วงเย็นบางวัน หรือช่วงวันหยุดจะมีวัยรุ่นญี่ปุ่นมาเล่นกันเต็มเลยครับ อ้อแล้วก็ข้างๆลานเบสบอลมีลานเอาไว้ให้ไดร์ฟกอล์ฟด้วยครับ เห็นแล้วอิจฉาอยากให้ที่ประเทศไทยมีพื้นที่อย่างนี้บ้างครับ TT

 

สองรูปข้างบนเป็นรูปบรรยากาศริมแม่น้ำครับ บรรยากาศดีมากครับร่มรื่นมาก ตอนเย็นๆถ้ามีเวลาผมชอบออกไปเดินเล่นแล้วก็นั่งชิวๆแถวริมแม่น้ำมากครับ

    ส่วนสองรูปนี้เป็นรูปลานกว้างติดแม่น้ำที่เอาไว้เล่นเบสบอลกับไดร์ฟกอล์ฟครับ พอไปเห็นภาพแบบนี้แล้วนึกย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรามันรู้สึกเศร้าใจเหมือนกันนะครับ ว่าทำไมคนไทยเราถึงไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีแบบนี้บ้าง…

รูปนี้แถมครับ เป็นรูปน้องแมวที่ชอบมานอนอยู่แถวโรงเรียนครับ 😺

    พอผ่านไปซักพักหลังจากที่ย้ายโรงเรียนมาสถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้นครับ ได้ไปเรียนที่โรงเรียน ไปเจอเพื่อนๆ ช่วงนี้ก็เลยได้ออกไปข้างนอกบ่อยอยู่ครับ (เก็บกดด้วยแหละครับ ก่อนหน้านี้หมกตัวอยู่แต่ในห้อง 555) ด้วยความที่โรงเรียนผมตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟคาวาซากิ แถวนั้นคนอาศัยอยู่ค่อนเยอะครับ เป็นเมืองที่ใหญ่พอสมควร รอบๆเลยเต็มไปด้วยห้างต่างๆมากมายเลยครับ (เป็นสาเหตุให้ผมเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ 555) เพราะงั้นไม่ต้องกลัวเลยครับว่าจะไม่มีที่ให้ไป

    รูปนี้เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนั้นครับ เป็นห้างที่บรรยากาศเหมือนเมกะบางนามากครับ 5555 ด้วยความที่ห้างนี้อยู่ใกล้ที่พักผม ทำให้ผมไปเดินบ่อยมากครับ ไปช็อปปิ้ง ซื้อของกินของใช้ต่างๆ ชั้นล่างของห้างมีซุปเปอร์มาเก็ตที่ใหญ่มากกก มีของขายครบเกือบทุกอย่างเลยครับสะดวกมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากและก็ไปบ่อยมากก็คือร้านหนังสือครับ ห้างนี้จะมีร้านหนังสือขนาดใหญ่มากอยู่ร้านนึงครับ สำหรับคนรักหนังสือมันคือสวรรค์ดีๆนี่เองครับ เวลาว่างๆผมชอบไปเดินดูหนังสือครับ มีหนังสือครบทุกประเภทเลยครับ หนังสือ JLPT ก็มีครับ ผมหมดเงินไปกับร้านหนังสือร้านนี้เยอะเหมือนกันครับ ถือคติ ซื้อไว้ก่อนอุ่นใจ อ่านจบตอนไหนไว้ว่ากันอีกที 55555

พิมพ์ไปพิมพ์มาเริ่มยาวอีกละ เพื่อไม่ให้ยาวเกินไปแล้วอ่านยาก ผมขอจบ

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 2)

ไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวว่างๆ ผมมาเล่าต่อใน ตอนที่ 3 นะครับ อย่าลืมติดตามกันนะคร้าบบบ

อ่านบทความเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ https://japantoprank.com/

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี (ตอนที่ 1)

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

(ตอนที่ 1)

     สวัสดีครับทุกคน สบายดีกันไหมครับ ช่วงนี้สถานการณ์โควิด 19 ในไทยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูแลรักษาสุขภาพกันดีๆนะครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ตอนที่ไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่นให้ฟังครับ นอนอยู่บ้านชิวๆ แล้วมาอ่านกันดีกว่าครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ของผม

ผมจะไม่ได้ลงดีเทลเรื่องโรงเรียน การเดินทาง ที่พักอะไรมากนะครับ เพราะผมคิดว่าข้อมูลเหล่านั้นทุกคนน่าจะเคยอ่านมาเยอะแล้ว ผมเลยอยากให้บทความนี้เป็นอารมณ์ประมาณเรื่องสนุกๆที่เล่าเพื่อนฟังแทน เรื่องราวอาจจะไม่ได้ประติดประต่อกันมากนะครับ ระหว่างเพิมพ์ถ้าผมนึกอะไรออกผมก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆครับ 5555 โดยผมจะแยกออกเป็นตอนๆไปนะครับ เพื่อที่จะได้ไม่ยาวเกินไปและง่ายต่อการอ่าน ยังไงฝากติดตามเรื่องราวในญี่ปุ่น 1 ปีของผมด้วยนะครับ ^^

ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น?

  ก่อนอื่นผมขอเล่าก่อนว่าทำไมผมถึงตัดสินใจลาออกจากงานและไปเรียนภาษาถึงที่นู่น จริงๆแล้วก่อนที่ผมจะไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไทยมาก่อนซักพักนึงแล้วครับ (ก่อนไปผมมี N3 อยู่แล้ว) ก็น่าจะเหมือนกับหลายๆคนครับ คือทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย พอเรียนมาได้ซักพักนึงก็รู้สึกชอบครับแล้วก็รู้สึกว่าอยากไปให้สุด อยากพูดได้ อยากเอามาใช้ให้ได้แบบจริงจัง ไม่อยากเรียนแบบครึ่งๆกลางๆ (เหมือนภาษาอังกฤษที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ดีมาก TT)

แล้วก็ด้วยความที่ผมก็ชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นและประเทศญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย เลยอยากลองไปใช้ชีวิตที่นู่นดูครับ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำและไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น ตอนอายุ 26 ปีครับ ต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลยครับ ด้วยความที่อายุก็เริ่มเยอะแล้ว งานประจำที่ทำอยู่ตอนนั้นก็ถือว่าโอเคเลยครับ เพื่อนร่วมงานดี ใกล้บ้านด้วยครับ พอไปปรึกษาคนรอบตัว ก็มีทั้งคนที่อยากให้ไปและคนที่ไม่อยากให้ไปเพราะไม่อยากให้ทิ้งงานตอนนั้นไป ตอนนั้นบอกตรงๆเลยว่าผมลังเลพอสมควรเลยครับ

แต่สุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจไปก็คือ คำถามของเพื่อนผมคนที่นึงที่มันถามผมว่า

“เอาง่ายๆไม่ต้องไปคิดเรื่องเงินหรือความคุ้มค่าคุ้มทุนอะไร ถ้าตัดสินใจไม่ไปเรียน แล้วในอนาคตมองย้อนกลับมาจะเสียดายไหม?” 

พอได้ฟังคำถามนี้ปุ๊ป ผมก็ตัดสินใจวางแผนไปเรียนแล้วก็ลาออกเลยครับ 555 ตอนนี้ตอนที่ผมนั่งพิมพ์บทความนี้อยู่ ผมก็รู้สึกดีใจที่ตัวผม ณ ตอนนั้นตัดสินใจแบบนั้นนะครับ เอาล่ะ ผมเกริ่นมายาวพอสมควรละ เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ว่าเรื่องราวในญี่ปุ่น 1 ปีของผมไปเจออะไรมาบ้าง

ผมขอเริ่มจากตอนไปถึงญี่ปุ่นเลยนะครับ เรื่องรายละเอียดวิธีการเลือกโรงเรียนว่าควรเลือกยังไง

ผมเขียนไว้อย่างละเอียดในอีกบทความนึงแล้วนะครับ ใครที่อยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมตามไปอ่านกันได้เลยนะครับ

    เรื่องราวของผมอาจะแปลกๆนิดนึงนะครับ เพราะว่าใน 1 ปีที่ผมไปเรียนที่ญี่ปุ่น ผมไปเรียนมา 2 โรงเรียนครับ เรียนโรงเรียนแรก 6 เดือน ส่วนอีก 6 เดือนที่เหลือผมย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนนึงครับ เดี๋ยวผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังออีกทีตอนหลังนะครับ ว่าทำไมผมถึงต้องย้ายโรงเรียน บันเทิงแน่นอนครับ 5555

กู๊ดบายไทยแลนด์

สำหรับเรื่องการตัดสินใจเลือกโรงเรียน ว่าต้องพิจารณาถึงเรื่องอะไรอะบ้าง ผมเขียนไว้ในอีกบทความชื่อ จะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เลือกโรงเรียนยังไงดี ใครสนใจกดเข้าไปอ่านได้เลยนะครับ 🥰

โรงเรียนแรกที่ผมไปเรียนอยู่ที่ Nagoya ครับ เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นเล็กๆชื่อ NIA (Nagoya International Academe)  ถ้าเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นก็คือ 名古屋国際学院 ครับ ใครที่สนในสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดได้ตาม Link นี้เลยครับ (ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกไปเรียนโรงเรียนนี้ เหตุผลแรกคือถูกครับ 5555 แล้วนาโกย่าก็เป็นเมืองที่น่าสนใจครับ ไม่ได้ใหญ่เหมือนโตเกียว โอซาก้า แต่ก็ไม่ได้เล็กแบบเมืองเล็กๆตามต่างจังหวัด คึกคักกำลังดีเลยครับ นอกจากนี้ังอยู่ตรงกลางระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า เดินทางสะดวกมากครับ) ตอนนั้นที่ผมไปถึงเป็นช่วงประมานต้นๆเดือนตุลาคมครับ เป็นช่วงที่อากาศกำลังดีครับ เย็นๆ ยังไม่ถึงกับหนาว เสื้อผ้าที่เตรียมไปเลยไม่ต้องมีอะไรมาก เสื้อผ้าปกติแบบที่ใส่ในไทยเลยครับ ผมจำได้เลยว่าก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบินความรู้สึกตอนนั้นคือตื่นเต้น + กังวลนิดหน่อยครับ (กังวลว่าจะอยู่รอดไหม😂)

ตอนนั้นผมบินจากไทยตอนกลางคืนครับ ไปถึงญี่ปุ่นประมานช่วงเช้าพอดี พอไปถึงก็นั่งรอทางโรงเรียนมารับครับ (โรงเรียนส่งคนมารับที่สนามบินครับ) พอคนของโรงเรียนมาถึง เค้าก็จัดแจงซื้อบัตรโดยสารรถบัสให้ครับ แล้วก็พาไปขึ้นรถบัส เพื่อที่จะนั่งไปโรงเรียน

พอไปถึงโรงเรียนสิ่งแรกที่ทำก็คือสอบครับ ใช่ครับ สอบ!!! เป็นการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นครับ ว่าเราจะได้เรียนในระดับไหน (ข้อสอบแบ่งออกเป็นพาร์ทที่เขียนตอบ กับ สัมภาษณ์ภาษาญี่ปุ่นครับ) ตอนนั้นด้วยความที่ตอนนั่งเครื่องบินมานอนไม่ค่อยหลับ บวกกับความตื่นเต้น ก็มีมั่วไปบ้างครับ 555 หลังจากที่สอบเสร็จเซนเซคนญี่ปุ่นก็เดินไปส่งที่ที่พักครับ (โรงเรียนนี้เลือกได้ครับว่าจะพักกหอพักที่โรงเรียนหาให้ หรือจะหาเองก็ได้ครับ ตอนนั้นผมเลือกอยู่หอพักที่โรงเรียนหาให้ครับ เหตุผลเดิมเลยครับ ถูก 555)

ห้องที่ผมอยู่ตอนนั้นไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ครับ เดินไปโรงเรียนประมาน 5 นาทีครับ ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องใหญ่ครับ มีรูมเมท (ช่วงแรกที่ผมไปอยู่กัน 4 คนครับ มีคนไทย 3 คนรวมผมด้วย ส่วนอีกคนเป็นคนอเมริกาครับ ทุกคนนิสัยดีมากครับ อยู่กันได้อย่างสนุกสนาน ไม่มีปัญหาอะไรครับ)

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

รูปบรรยากาศในห้องเรียนแล้วก็แถวๆโรงเรียนครับ (ผมถ่ายไว้ไม่ค่อยเยอะๆ ขอโทษทีครับ 😅)

ช่วงแรกๆของการไปอยู่ที่ญี่ปุ่นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือสำรวจพื้นที่รอบๆที่พักก่อนครับ ว่ามีอะไรบ้าง มีร้านอาหารอะไรให้กินบ้าง ถ้าจะทำกับข้าวต้องซื้อของสดที่ไหน ประมานนี้ครับ โชคดีที่รูมเมทผมคนนึงเป็นน้องคนไทยที่เค้าอยู่มาก่อนแล้วเลยได้น้องเค้าแนะนำอะไรหลายอย่างเลยครับ ผมเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แล้วก็หาซื้อของใช้ส่วนตัวต่างๆครับ พวกสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ผงซักฟอก ฯ (แนะนำว่าของที่สามารถหาซื้อได้ที่นู่น ไม่ต้องเอาไปจากไทยหรอกครับ จะได้ไม่เปลืองพื้นที่และน้ำหนักกระเป๋า)  สิ่งที่ต่างจากไทยและจำเป็นต้องปรับตัวก็พวกเรื่องการทิ้งขยะครับ ที่ต่างกับที่ไทยมากไว้มีโอกาสเดี๋ยวผมมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดนะครับ

เปิดเทอม กลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง!

หลังจากมาถึงได้ไม่นานก็ได้เวลาเปิดเทอมเริ่มเรียนกันครับ ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับเหมือนได้ย้อนกลับมาเป็นวัยเรียนอีกรอบ😂 โรงเรียนที่ผมเรียนจะแบ่งเวลาเรียนออกเป็น 2 ช่วงเวลานะครับ คือ ช่วงเช้าสำหรับนักเรียนระดับกลางถึงระดับสูง และช่วงบ่ายสำหรับนักเรียนระดับพื้นฐาน ผมได้เรียนช่วงเช้าครับ การเรียนการสอนของที่นี่ก็จะมีทั้งสอนเรื่องการฝึกฟัง ผึกพูด ฝึกเขียนเรียงความ แล้วก็แกรมม่าครับ ก็คือสอนครบทุกทักษะที่จำเป็นต้องใช้แหละครับ 555 โดยจะมีเซนเซหลายคนนะครับ เวียนกันสอนสลับไปในแต่ละวัน ระหว่างเรียนก็จะมีกิจกรรมแทรกเรื่อยๆครับ เช่น มีให้ออกมาพรีเซ้นหน้าห้อง ให้จับกลุ่มกันคุยตามหัวข้อที่กำหนด มีให้ทำแบบสอบถามแล้วก็ออกไปสัมภาษณ์คนญี่ปุ่นข้างนอกโรงเรียนด้วยครับ นอกจากนี้ก็จะมีพวกกิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น สอนทำข้าวปั้น สอนเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันจีน โดยกิจกรรมจะมีเรื่อยๆครับ มีทั้งแบบที่ฟรีและเสียเงิน (สำหรับกิจกรรมที่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม) แล้วก็มีการพาไปเที่ยวนอกสถานที่ครั้งนึงด้วยครับ ตอนรุ่นผมโรงเรียนพาไปเที่ยวเกียวโตครับ นั่งรถบัสกันไปสนุกมากครับ

ข้างล่างนี้เป็นรูปจากตอนที่โรงเรียนพาไปเที่ยวเกียวโตครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ชีวิตที่โรงเรียนก็สนุกสนานเฮฮาดีครับ มีเพื่อนจากหลากหลายชาติซึ่งผมชอบมาก เพราะว่าการได้พูดคุยกับคนชาติอื่น มันเหมือนเราได้เปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นครับ บางเรื่องที่สำหรับคนไทยเรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนต่างชาติแล้วมันอาจจะไม่ธรรมดาก็ได้ครับ หรือบางเรื่องที่เรามองว่าเค้าแปลก แต่สำหรับเค้ามันก็แค่เรื่องธรรมดา ยังไงอยากให้ลองเปิดใจให้กว้างแล้วหาเพื่อนจากหลายๆชาติดูนะครับ อย่าจับกลุ่มกันแต่คนไทย อุตส่าห์มีโอกาสได้เจอกันทั้งที 🙂

แล้วก็คำถามที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะโดนถาม (ค่อนข้างบ่อย) ซึ่งบางคนน่าจะพอเดาได้ ก็คือเรื่องช้างกับมวยไทยนั่นเองครับ 555 เชื่อมั๊ยครับว่าต่างชาติบางคนยังคิดว่าประเทศเรามีช้างเดินไปมาตามท้องถนนและคนไทยทุกคนชกมวยไทยเป็นอยู่เลย 555

ช่วงแรกๆที่ไปอยู่ที่นู่นผมยังไม่ได้ทำงานพิเศษครับ เนื่องจากอยากโฟกัสกับการเรียน (จริงๆคือขี้เกียจแล้วก็อยากเที่ยวครับ 555) ช่วงแรกๆหลังจากที่เรียนในช่วงเช้าเสร็จผมจะชอบไปเดินเล่นครับ เดินสำรวจแถวโรงเรียน ที่พัก บางทีก็เดินแบบไม่มีจุดหมาย แค่อยากเดินไปเรื่อยๆ ใครที่มีโอกาสได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ผมแนะนำว่าวันไหนที่อากาศดีๆแล้วมีเวลาว่าง ลองเดินเล่นแบบไม่มีจุดหมายดูครับ สำหรับผมมันเป็นการผ่อนคลายที่ดีมากเลยครับ ^^ และผมว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เดินง่าย เดินสนุกครับ (อยากให้ประเทศเราเป็นแบบนั้นบ้าง TT) ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ถ้ามีเวลาก็ไปเที่ยวสถานที่ใกล้ๆครับ สำรวจตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในนาโกย่า (ไว้เดี๋ยวคราวหลังผมมาเขียนเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจในนาโกย่าอีกทีนะครับ)

ญี่ปุ่น บรรยากาศ สวน

ญี่ปุ่น บรรยากาศ สวน ต้นไผ่

ญี่ปุ่น บรรยากาศ

ญี่ปุ่น บรรยากาศ

รูปที่ผมถ่ายตอนเดินเล่นแถวๆที่พักครับ บรรยากาศดีมากก อยากให้ที่ไทยเป็นแบบนี้ 😥


พายุใต้ฝุ่นฮากิบิส

หลายๆคนน่าจะพอจำข่าวในช่วงเดือนตุลาคม 2019 ได้ใช่ไหมครับ ที่มีพายุใต้ฝุ่นลูกใหญ่(มากกกก)ลูกนึงชื่อฮากิบิสเข้าถล่มญี่ปุ่น ช่วงนั้นคือข่าวที่ประเทศไทยก็ออกกันใหญ่โตมาก ใน Facebook เพสต่างๆก็มีคนแชร์กันเต็มไปหมด เป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดในรอบ 60 ปี เรียกได้ว่าเป็นการต้อนรับการไปถึงญี่ปุ่นอย่างไม่มีวันลืมกันเลยทีเดียว 555 ช่วงนั้นที่ญี่ปุ่นเองก็ออกข่าวทุกช่องเหมือนกันครับ บอกให้เตรียมตัว เตรียมอาหาร น้ำ ของกิน สำหรับยามฉุกเฉิน ไม่ให้ออกนอกบ้านในช่วงที่มีพายุเข้า ตัวผมเองก็ตื่นเต้นไปด้วย เพราะเอาจริงตั้งแต่เกิดมาอยู่ประเทศไทยยังไม่เคยเจอพายุเลยครับ

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

นี่คือภาพบรรยากาศที่ร้านขายของที่ญี่ปุ่นตอนนั้นครับ คนญี่ปุ่นคือเตรียมพร้อมกันมากก ตุนของกินกันแทบทุกคน ผมไปถึงนี่แทบช็อคเลยครับ ของกินเกลี้ยงเลย โดยเฉพาะพวกของกินที่กินได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไร เช่นพวกขนมปังต่างๆ  ซีเรียล นม หาซื้อแทบไม่ได้เลยครับ (ตอนที่พายุเข้ามีความเสี่ยงที่แกสจะโดนตัดครับ การตุนของกินเลยแนะนำให้เตรียมของที่กินได้เลยไม่จำเป็นต้องปรุง)

อ้อแล้วก็อีกอย่างนึงที่หายเกลี้ยงเหมือนกันคือพวกเทปกาวครับ เพราะว่าเวลาที่พายุเข้าคนจะซื้อไปติดที่กระจกหน้าต่างครับ เพราะเวลาที่กระจกแตก เทปจะช่วยลดการแตกกระจายของกระจกได้ครับ (ถ้ามีผ้าม่านให้ปิดดผ้าม่านไว้ด้วยนะครับ ผ้าจะช่วยให้เศษกระจกที่แตกไม่ปลิวเข้ามาในห้องได้ครับ)

ด้วยความที่ตอนนั้นข่าวที่ออกที่ไทยค่อนข้างหน้ากลัว คนรู้จักที่ไทยพอเห็นข่าวคือโทรมาหาเยอะมากกกว่าเป็นอะไรหรือป่าว ตอนนั้นรู้สึกดีใจเหมือนกันครับ ที่รู้ว่ามีคนเป็นห่วงผมเยอะขนาดนี้😭

ผมกับรูมเมทก็ช่วยกันเตรียมพร้อมทุกอย่างเท่าที่จะเตรียมได้ครับตอนนั้น ทั้งตุนอาหาร ลองน้ำเก็บไว้ในอ่างอาบน้ำเผื่อน้ำไม่ไหล พอถึงวันที่พายุขึ้นฝั่งเอาจริงๆตอนนั้นก็น่ากลัวเหมือนกันครับ ฟ้ามืด ฝนตก ลมแรง ทุกคนเก็บตัวอยู่ในห้องคอยตามข่าว แต่โชคดีครับที่ตอนนั้นพอพายุขึ้นฝั่ง พายุเบาลงนิดนึงและเส้นทางพายุเอนขึ้นไปข้างบน ตรงนาโกย่าเลยไม่โดยไม่แรงมากครับ มีฝนตกลมแรงหน้าต่างสั่นให้หวั่นใจบ้างเป็นช่วงๆ แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดีครับ ผมยังสบายดีมานั่งพิมพ์รีวิวให้ทุกคนอ่านอยู่ครับ 555หลังจากพายุผ่านไป ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีครับ แถวที่พักและโรงเรียนที่ผมเรียนไม่มีอะไรเสียหาย เปิดเรียนได้ตามปกติครับ


วันฮาโลวีนในญี่ปุ่น

 สำหรับคนไทยเราอาจจะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับวันฮาโลวีนกันมากนัก แต่คนญี่ปุ่นโดนเฉพาะวันรุ่นค่อนข้างจริงจังกับวันฮาโลวีนพอสมควรเลยครับ ตามเมืองใหญ่ๆพอถึงวันฮาโลวีนมักจะมีการมารวมตัวกัน แล้วแต่งชุดคอสเพลย์กันครับ ขอบอกเลยว่าชุดคอสเพลย์ของคนญี่ปุ่นก็คือหลุดโลกเหนือจินตนาการมากครับ 555 ใครมีโอกาสแนะนำว่าห้ามพลาดเลยนะครับ ไม่ต้องแต่งก็ได้ครับ แค่ไปยืนดูก็สนุกแล้วครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้แต่งครับ ไปเดินดูอย่างเดียว แล้วก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนต่อ 555 (ใครอายุไม่ถึงห้ามกินนะครับ!)

ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี

ญี่ปุ่น ฮาโลวีน

ภาพบรรยากาศวันฮาโลวีนที่นาโกย่าครับ


เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ญี่ปุ่น

    เรื่องนี้เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีละกันครับ ตั้งแต่เกิดผมอยู่ไทยมาไม่เคยเป็นไข้หวัดใหญ่มาก่อนเลยครับ มาแจ็คพอตแตกเป็นที่ญี่ปุ่น งงเหมือนกันครับ 555 ตอนแรกผมยังไม่รู้ครับว่าตัวเองเป็นไข้หวัดใหญ่ นึกว่าเป็นไข้ธรรมดาเลยใส่แมสแล้วก็ไปเรียนตามปกติ เรียนไปเรียนมาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ หลังเลิกเรียนผมไปคุยกับเซนเซที่โรงเรียนแล้วขอยืมที่วัดไข้ใช้ พอวัดเสร็จเลขออกมาประมาน 39 องศาได้ครับ เซนเซเห็นเลขแล้วตกใจเลยรีบพาผมไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆครับ

พอไปถึงพยาบาลก็ทำการตรวจโดยใช้วิธี Nasal Swab (เจ็บมากก TT) แล้วก็ให้นั่งรอผลซักพักนึงครับ ผ่านไปซักพักก็เรียกเข้าไปพบคุณหมอ คุณหมอแจ้งว่าผมเป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ครับ คุณหมอก็ตรวจร่างกายคร่าวๆ สั่งยาให้ แล้วก็แนะนำให้หยุดเรียนก่อนซักพัก แล้วก็แนะนำวิธีการกินยา การดูแลตัวเองทั่วไปครับ (ตอนนั้นผมให้เซนเซเข้าไปด้วยนะครับ เผื่อฟังคุณหมอไม่เข้าใจจะได้หันไปถามเซนเซได้ 555)

สรุปก็คือผมต้องหยุดเรียนครับ แล้วก็นอนพักอยู่ที่ห้อง (ผมลืมว่าหยุดไปกี่วัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาน 2 ไม่ก็ 3 วันนะครับ) จำได้เลยว่าหลังจากตรวจเสร็จแล้วกลับไปนอน อาการหนักมากครับตอนนั้น ไข้ขึ้นสูง ปวดหัว ปวดไปทั้งตัว ไม่มีแรงเลยครับ ข้าวก็กินไม่ค่อยได้ TT ตอนนั้นในใจคือคิดถึงบ้านมากครับ งอแงมาก ยิ่งโทรคุยกับแม่คือยิ่งอยากกลับบ้าน 555 ยังดีครับที่ตอนนั้นรูมเมทผมคอยช่วยดูแล ช่วยซื้อกับข้าวให้ครับ (ตอนอยู่ในห้องผมใส่แมสตลอดนะครับ รวมทั้งตอนนอนด้วยครับ เพราะกลัวจะทำให้รูมเมทคนอื่นติดไปด้วย แต่สุดท้ายจนผมหายก็ไม่มีคนติดครับ)

เข็ดเลยครับตอนนั้น นอนโทรมไปหลายวันเหมือนกัน ดังนั้นใครที่จะไปเรียนหรือไปทำงานที่ญี่ปุ่น ก่อนไปแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไทยมานะครับ เพราะว่าฉีดง่ายและราคาถูกกว่าที่ญี่ปุ่น (จริงๆมีคนแนะนำผมมาเหมือนกันว่าให้ฉีดก่อนไป แต่ผมลืมครับ แล้วก็ประมาทด้วยแหละว่าตัวเองไม่น่าเป็นหรอก สรุปคือไม่รอดครับ 555)


โทรเรียกตำรวจที่ญี่ปุ่น

อ่านหัวข้อเรื่องแล้วอย่าพึ่งตกใจนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับคดีฆาตรกรรมในห้องปิดตายหรืออะไรทำนองนั้นแน่นอนครับ 555

เรื่องนี้จะจัดว่าเป็นเรื่องแนวไหนดี…เอาเป็นว่าเป็นเรื่องราวขำๆ ปนกับน่าอายละกันครับ

เรื่องมีอยู่ว่าในกลางดึกคืนนึง ผมลุกไปเข้าห้องน้ำตอนประมาณเที่ยงคืนเกือบตี 1 ได้ครับ ระหว่างเข้าห้องน้ำผมก็นั่งเล่นโทรศัพท์ทำธุระตามปกติ พอจังหวะที่กำลังจะออกจากห้องน้ำ ประตูดันเปิดไม่ออกขึ้นมา ตอนแรกผมก็ยังไม่คิดอะไรมากครับ เนื่องจากประตูห้องน้ำอันนี้บางทีมันก็เปิดยากเป็นปกติอยู่แล้ว ก็เลยค่อยๆพยายามบิดแล้วก็ดันให้มันออก แต่ครั้งนี้มันดันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือผมพยายามเท่าไหร่มันก็เปิดไม่ออก!

ผมจำได้ว่าดันอยู่นานเหมือนกันครับแต่ยังไงก็เปิดไม่ออก คราวนี้เริ่มเหงื่อตกละครับ อย่าบอกนะว่าจะต้องนอนในห้องน้ำ โนวววว 😱 ตอนนั้นผมเลยตะโกนเรียกรูมเมทผมที่เป็นคนยูเครนที่นอนหลับอยู่ครับ (ตอนต้นเรื่องผมบอกว่ารูมเมทผมเป็นคนไทย 3 คนรวมผม แล้วก็คนอเมริกาอีก 1 คนใช่ไหมครับ แต่ตอนเกิดเรื่องนี้เวลาผ่านมาจากตอนนั้นหลายเดือนเหมือนกันครับ ตอนนี้้คนอเมริกากับน้องคนไทยอีกคนกลับประเทศไปแล้วครับ เลยเหลือผม รูมเมทคนใหม่ที่เป็นคนยูเครน แล้วก็พี่คนไทยอีกคนนึง ซึ่งวันนั้นพี่เค้าไม่อยู่ห้องครับ) รูมเมทผมก็ตื่นมาแบบงงๆ แล้วก็มาช่วยกันพยายามเปิดประตูกันอยู่ซักพัก ดันกันจนเหนื่อย แต่ทำยังไงก็เปิดไม่ออกครับ ตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดคือหรือจะลองโทรหาเซนเซที่โรงเรียนดู แต่ด้วยตอนนั้นมันตีหนึ่งกว่าแล้ว แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเซนเซเค้าบ้านอยู่ที่ไหนกันบ้าง จะให้มาเปิดประตูให้คงยาก

แล้วตอนนั้นเองผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ไกลจากที่พักผมมีป้อมตำรวจเล็กๆอยู่ คุณตำรวจน่าจะช่วยผมได้ 555 (ตอนนั้นนึกทางเลือกอื่นไม่ออกแล้วจริงๆครับ😅) เลยคุยกับรูมเมทแล้วให้รูมเมทผมออกไปเรียกตำรวจให้ครับ โดยที่ผมให้รูมเมทผมพกโทรศัพท์มือถือไปด้วย ไปถึงแล้วให้เอาโทรศัพท์ให้ตำรวจเดี๋ยวผมคุยเอง (รูมเมทผมพึ่งเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ไม่นานครับ ยังพูดไม่ค่อยได้) พอซักพักประมาน 5 นาทีหลังที่รูมเมทผมออกจากห้องไป เค้าก็โทรกลับมาหาผมคน โดยคนที่คุยกับผมก็คือคุณตำรวจครับ ด้วยความที่ผมก็เริ่มกระวนกระวาย ตอนคุยกันกว่าจะเข้าใจกันได้ก็ซักพักเลยครับ งงกันไปงงกันมา 555 จนสุดท้ายคุณตำรวจก็เข้าใจครับ แล้วก็มาที่ห้องพร้อมกับกับรูมเมทของผม

ตอนนั้นคุณตำรวจมากัน 2 คนครับ มาช่วยกันงัดประตูห้องน้ำให้ผม งัดกันแบบจริงจังมากครับ 555 น่าจะประมาน 5 นาทีได้ครับ สุดท้ายประตูก็เปิดได้ซักที ตอนที่ประตูห้องน้ำเปิดได้ ผมนี่ไม่รู้จะขอบคุณคุณตำรวจทั้ง 2 คนยังไงเลยครับ ความรู้สึกผมตอนนั้นคือซึ้งปนๆกับเขินแล้วก็เกรงใจครับที่เรียกมาดึกดื่นด้วยเรื่องแค่นี้ ตอนนั้นคือผมขอบคุณไปด้วยทุกประโยคที่นึกเลยครับ 5555 คุณตำรวจก็ขำๆครับ พอหลังงัดเสร็จเค้าก็ไปหาเทปใสมาแปะตรงกรอนประตูให้ครับ (ไม่ให้มันล็อคเข้าไปอีก) แล้วก็บอกว่าตอนเช้าให้ไปแจ้งกับทางที่พักให้เค้ามาเปลี่ยนด้วยนะ หลังจากนั้นก็แยกย้ายครับ เรื่องนี้คือเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะนึกย้อยไปกี่ครั้งก็ขำครับ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์แปลกๆ งงๆ ที่ยังไงก็คงไม่ลืมแน่ๆ

เพื่อนๆคนไหนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ถ้าปัญหาอะไรก็ลองขอความช่วยเหลือจากพี่ๆตำรวจดูได้นะครับ ^^


ไหนๆก็พูดถึงเรื่องตำรวจแล้ว เพื่อนๆรู้จักเบอร์ฉุกเฉินของประเทศญี่ปุ่นกันใช่ไหมครับ?

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ ตามมาอ่านตรงนี้ได้เลยครับ จริงๆแล้วประเทศญี่ปุ่นเองก็มีเบอร์โทรสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆเยอะเหมือนกันครับ แต่ที่ผมอยากให้ทุกคนจำมีแค่ 2 เบอร์เท่านั้นครับ

  1. 110 (อ่านว่า ひゃくとうばん นะครับ ไม่ใช่ ひゃくじゅうばん) เบอร์เอาไว้สำหรับโทรหาตำรวจครับ เวลาที่เกิดเหตุร้ายหรือคดีอะไรต่างๆ โทรแจ้งที่เบอร์นี้ได้เลยครับ
  2. 119 (อ่านว่า ひゃくじゅうきゅうばん) เบอร์นี้เอาไว้สำหรับโทรหารถดับเพลิงและรถพยาบาลครับ เวลาที่เจอเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือมีใครบาดเจ็บจำเป็นต้องเรียกรถพยาบาล โทรแจ้งที่เบอร์นี้ได้เลยครับ

ทั้ง 2 เบอร์นี้ผมแนะนำให้จำเอาไว้ก็ดีนะครับ บางคนอาจจะคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ใช้หรอก แต่อย่าประมาทไปครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ อ้อแล้วผมขอไว้เรื่องนึง ห้ามโทรไปเล่นๆหรือโทรไปแกล้งนะครับ!!!


เป็นไงบ้างครับ ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น 1 ปี ตอนแรกของผม

เอาล่ะครับสำหรับพาร์ทแรกก็น่าจะยาวพอสมควรแล้ว ผมขอจบพาร์ทแรกไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ใครที่สนใจอยากอ่านต่อ

ไปเจอกันในพาร์ท 2 ได้เลยคร้าบบบ 😁

ในเว็บของเรายังมีบทความที่น่าสนใจอีกหลายอันเลยนะครับ เพื่อนๆคนไหนที่สนใจลองกดเข้าไปอ่านกันได้เลยนะครับ

(japantoprank.com)

 

จะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เลือกโรงเรียนยังไงดี

ไปเรียนที่ญี่ปุ่น เลือกโรงเรียนยังไงดี

จะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เลือกโรงเรียนยังไงดี ต้องดูเรื่องอะไรบ้าง?

     สวัสดีครับเพื่อนๆ ผมเชื่อว่ามีหลายคนมีความฝันที่จะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นกันใช่ไหมครับ สำหรับ จะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เลือกโรงเรียนยังไงดี บทความนี้ผมเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะพิจารณาก่อนที่จะเลือกโรงเรียนครับ ว่ามีเรื่องไหนบ้างนะที่เราควรจะเอามาคิดบ้าง ผมคิดว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังจะแพลนไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น หรือคนที่กำลังหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจอยู่นะครับ หรือสำหรับคนที่ยังไม่ได้แพลนไว้ว่าจะไป แต่มีความสนใจลองอ่านเพื่อเก็บข้อมูลเอาไว้ก่อนก็ได้นะครับ

โดยผมอยากให้พิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยในการตัดสินใจครับ

1. หลักสูตร

เรื่องแรกสุดเลยที่ผมอยากให้ทุกคนพิจารณาก็คือเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียนครับ (เพราะในเมื่อเราจะไปถึงที่นู่นเพื่อที่จะไปเรียนทั้งที เลยอยากให้คิดเรื่องนี้ให้ดีครับ) โดยผมจะขอแบ่งออกเป็นดังนี้ครับ

1. ระยะเวลาของหลักสูตร

เรื่องนี้โดยทั่วไปโรงเรียนส่วนใหญ่จะคล้ายๆกันครับสำหรับหลักสูตรระยะยาว คือมักจะแบ่งออกเป็นคอร์ส 6 เดือน/1ปี/1 ปี 6 เดือน และ 2 ปี ครับ ซึ่งถ้าถามว่าควรเลือกไปเรียนนานแค่ไหนอันนี้ผมตอบให้ไม่ได้ครับจริงๆครับ คงต้องขึ้นอยู่ความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันและเป้าหมายของแต่ละคนว่าอยากจะเรียนไปถึงขนาดไหนครับ (และแน่นอนว่าเรื่องงบประมานของแต่ละคนด้วยครับ) เช่น นาย A ปัจจุบันมี JLPT N3 อยู่แล้ว เป้าหมายของคืออยากได้ JLPT N2 จึงเลือกไปเรียนแค่ 1 ปี นาย B อยากได้ JLPT N2 เหมือนกัน แต่ว่ายังไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ต้องไปเริ่มเรียนตั้งแต่ 0 เลยตัดสินใจเลือกไปเรียน 2 ปีเต็มๆเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยครับ เพราะถ้าจะบอกว่าเริ่มต้นจาก 0 ไปเรียนแค่ 1 เป็นไปไม่ได้ที่จะสอบผ่าน N2 ผมก็จะบอกว่าไม่ใช่ครับ เพราะก็มีหลายคนที่ทำได้ครับ เพราะฉะนั้นสำหรับเรื่องนี้ผมอยากให้ลอง ตั้งใจประเมินเป้าหมายและความสามารถของตัวเราเองให้ดีครับ แล้วก็ตัดสินใจเลือกเลยครับ 

2. ชั่วโมงเรียน (จำนวนชั่วโมงและช่วงเวลา)

เรื่องชั่วโมงเรียนอันนี้ผมหมายถึง จำนวนชั่วโมงเรียนที่เราต้องเรียนในแต่ละวันครับ เช่น เรียนจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 4 ชั่วโมง เป็นต้น ส่วนเรื่องช่วงเวลาก็คือ เรียนช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายนั่นเองครับ โดยทั่วไปโรงเรียนส่วนใหญ่จะเรียนจันทร์-ศุกร์ วันละประมาน 3-4 ชั่วโมงครับ ส่วนเรื่องที่ว่าจะได้เรียนช่วงเช้าหรือบ่าย อันนี้แล้วแต่โรงเรียนครับ โดยหลายโรงเรียนมักจะใช้วิธีแบ่งด้วยระดับของชั้นเรียนที่นักเรียนได้ครับ เช่น นักเรียนที่ได้เรียนในคอร์สระดับกลางถึงสูงเรียนช่วงเช้า และให้นักเรียนระดับพื้นฐานเรียนในช่วงเช้า เป็นต้น (อันนี้แล้วแต่ละโรงเรียนแตกต่างกันนะครับ) แต่ก็จะมีบางโรงเรียนที่มีชั่วโมงเรียนเยอะกว่าปกติครับ บางโรงเรียนมีเรียนทั้งเช้าและบ่าย บางโรงเรียนอาจจะมีเป็นวิชาเลือกให้เลือกเรียนด้วยครับ (ชั่วโมงเรียนเยอะหรือน้อย อันนี้แล้วแต่คนชอบนะครับ สำหรับคนที่ชอบเรียนแบบจัดเต็มก็อาจจะชอบแบบที่เรียนเยอะๆ แต่สำหรับคนที่อยากแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง เช่น ทำงานพิเศษ ก็อาจจะไม่เหมาะครับ) ซึ่งเรื่องนี้แต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันไปนะครับเพราะฉะนั้นอยากให้ศึกษารายละเอียดตรงนี้ดีๆครับ

3. ระดับของคอร์สเรียนที่มี/หลักสูตร

เรื่องนี้กเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกันครับ ก่อนที่จะเลือกโรงเรียนศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียดนะครับ คุยกับทางโรงเรียนให้เคลียว่าหลักสูตรของโรงเรียนเป็นแบบไหน เริ่มตั้งแต่ระดับไหนแล้วไปสุดที่ระดับไหน ตอบโจทย์เป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือป่าว โดยเฉพาะคนที่มีพื้นฐานอยู่แล้วในระดับนึงแล้วต้องการไปเรียนจนถึงระดับสูง (N1 หรือสูงกว่า เช่น ระดับ Business) เนื่องจากบางโรงเรียนอาจจะไม่มีคอร์สในระดับสูงมากขนาดนั้น หรือบางโรงเรียนมีคอร์สก็จริงแต่เนื่องจากเป็นโรงเรียนเล็ก จำนวนนักเรียนที่เรียนไปจนถึงคอร์สระดับสูงอาจจะมีไม่พอ ทำให้ไม่สามารถเปิดคอร์สให้ได้ ระวังเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ

ในส่วนของเรื่องหลักสูตรการสอนของแต่ละโรงเรียน ดูแค่จากเว็บเราอาจจะไม่รู้ก็จริงว่าโรงเรียนนี้สอนดีจริงรึป่าว (จริงๆบางที่มีคนรีวิวอยู่ครับ ลองอ่านรีวิวเพื่อเอามาช่วยในการตัดสินใจก็ได้ครับ)  แต่ในเบื้องต้นเราสามารถสอบถามโรงเรียนได้ครับ ว่าโรงเรียนแบ่งคอร์สยังไง มีกี่ระดับ แต่ละระดับใช้หนังสือเล่มไหนสอน เราสามารถเอาข้อมูลตรงนี้มาวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้ครับ


2. สถานที่ (ไปเรียนที่ไหนดี/จังหวัดไหนดี/ในเมืองหรือต่างจังหวัดดีกว่ากัน)

สำหรับคำถามนี้คิดว่าน่าจะเป็นคำถามแรกๆสำหรับคนที่แพลนจะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นเลยใช่ไหมครับ และก็เป็นคำถามที่ยากซะด้วย สำหรับผม ผมมองว่าคำถามนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัวนะครับ การที่จะเลือกไปเรียนที่ไหนนั้นไม่ได้มีผิดหรือถูกครับ หลายคนคงสงสัยว่า อ้าว แล้วจะเลือกยังไงดีล่ะ? สำหรับคนที่ยังลังเลหรือไม่ได้มีจังหวัดที่อยากไปในใจ ผมอยากให้ลองพิจารณาตามนี้ครับ

1. ความสะดวกในการเดินทางไปกลับจากไทย

ปัจจุบัน (2021) จังหวัดที่สามารถบินตรงจากไทยไปได้เลยนั้นมีดังนี้ครับ โตเกียว ชิบะ โอซากะ ไอจิ(จังหวัดที่มีเมืองนาโกย่า) ฟุกุโอกะ ฮิโรชิมะ โอกินาว่า มิยางิ(จังหวัดที่มีเมืองเซ็นได) และ ฮอกไกโด(สนามบินชินชิโตเสะที่ซัปโปโร) ดังนั้นสำหรับคนที่กังวลเรื่องการเดินทาง ผมแนะนำให้เลือกโรงเรียนในจังหวัดที่สามารถบินตรงจากไทยไปได้เลยนะครับ (จริงๆแล้วโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆอยู่แล้วครับ) สำหรับคนที่ไม่ได้กังวลเรื่องการเดินทางแล้วอยากไปจังหวัดอื่นๆที่บินตรงไปจากไทยไม่ได้ อันนี้ก็ได้ครับ แต่ยังไงศึกษาข้อมูลเรื่องการเดินทางให้ดีๆนะครับ

นอกจากเรื่องบินจากไทยไปถึงที่นู่นแล้ว อย่าลืมสำรวจเส้นทางและระยะห่างของโรงเรียนจากสนามบิน ว่าห่างแค่ไหน เดินทางยังไง ยากรึป่าว ก่อนที่จะเลือกกันด้วยนะครับ เพื่อเอามาเป็นข้อมูลในประกอบการตัดสินใจครับ

บางคนอาจจะมีคำถามในใจว่าเรื่องความสะดวกในการเดินทางนี่มันสำคัญยังไง ให้ลองจินตนาการตามนะครับ เวลาที่เราไปเรียนเราไปกันยาวนะครับ ไม่ได้เหมือนตอนไปเที่ยว สมมติว่าไปเรียน 1 ปี สัมภาระที่เราต้องเอาไป ผมบอกได้เลยครับว่าไม่เบาแน่นอน ไหนจะตอนที่จะกลับอีก ของเยอะกว่าขาไปแน่นอนครับ 😅 ดังนั้นถ้าโรงเรียนที่เราจะไปเดินทางไปยากแล้วละก็…เหนื่อยแน่นอนครับ 5555

2. เราเป็นคนแบบไหน

หลายคนอ่านแล้วน่าจะงงว่า เอ๊ะ มันเกี่ยวด้วยหรอว่าเราเป็นคนแบบไหน อย่าพึ่งงงและกดปิดนะครับ 555 ที่ผมเขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะ มันมีผลกับการเลือกสถานที่ที่จะไปเรียนพอสมควรเลยครับ ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนแน่ๆที่ยังลังเลอยู่ว่าจะเลือกไปเรียนในเมืองใหญ่ๆ ที่คึกคัก หรือว่าจะไปเรียนที่ต่างจังหวัดหรือตามชนบทที่เงียบสงบดี ซึ่งเรื่องนี้ผมมองว่าคนที่จะตอบคำถามได้ที่สุดก็คือตัวคุณเองครับ ผมอยากให้คุณตั้งคำถามกับตัวเองครับ ว่าคุณเป็นคน life style แบบไหน ชอบสังคมแบบไหน เวลาว่างชอบทำอะไร ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบสังคมเมือง ชอบความสนุกสนาน ชอบแสงสี มีเวลาว่างชอบไปเดินช็อปปิ้ง ไปดูหนัง ผมแนะนำให้เลือกเมืองใหญ่ๆครับ แต่ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความสงบ ไม่ชอบคนพลุกพล่าน พอมีเวลาว่างชอบเดินเล่น ปั่นจักรยานชิวๆ ผมแนะนำให้เลือกต่างจังหวัดหรือเมืองที่คนไม่เยอะมากครับ เรื่องนี้ผมมองว่าสำคัญนะครับ อยากให้เลือกตาม Life style ของแต่ละคนครับ 

3. สถานที่ท่องเที่ยว

เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องนี้อาจจะไม่ได้สำคัญมากเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะครับ สำหรับคนที่ไม่ได้อยากจะไปเที่ยวที่ไหนเยอะ อาจจะข้ามข้อนี้ไปก็ได้ครับ สำหรับคนที่ชอบเที่ยว ผมแนะนำให้ลองหาข้อมูลไว้เลยนะครับว่าเราอยากจะไปที่ไหนบ้าง แล้วสถานที่ที่เราอยากไปนั้นมันอยู่ตรงไหนบ้าง ที่ที่เราจะเลือกไปเรียนมันใกล้สถานที่พวกนั้นรึป่าว ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นยังไงบ้างพอจะเดินทางไปได้รึป่าว ลองหาข้อมูลไว้ประกอบการตัดสินนะครับ แต่ยังไงก็ตามผมไม่อยากให้เอาข้อนี้มาเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจเท่าไหร่นะครับ จะไปเรียนทั้งทีโฟกัสเรื่องการเรียนดีกว่าครับ 555 (แต่ไปถึงนู่นทั้งทียังไงถ้ามีเวลาก็แนะนำให้ลองเที่ยวดูบ้างนะครับ บางครั้งเวลาเราไปเที่ยวเราก็ได้ประสบการณ์หรือความรู้ใหม่ๆที่หาไม่ได้จากในห้องเรียนครับ ^^)

4. ที่พัก

เนื่องจากเราต้องไปเรียนกันยาว ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานพอสมควร เลยอยากให้เอาเรื่องที่พักมาพิจารณาด้วยครับ สำหรับเรื่องที่พักต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนเลยครับ ผมจะแบ่งเป็นหัวข้อที่อยากให้ลองเอามาพิจารณาดังนี้ครับ

  1. ค่าใช้จ่าย

เรื่องนี้อยากให้ลองคำนวณดูให้ละเอียดนะครับ ว่าจากงบประมานที่เรามีเราควรเลือกที่พักราคาเท่าไหร่ เวลาคุยเรื่องที่พัก ถามให้ละเอียดว่าราคานี้รวมค่าน้ำ ค่า ฟ ค่าแกส แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่รวมต้องเผื่อเงินเอาไว้จ่ายค่าใช่จ่ายพวกนี้ด้วยนะครับ แล้วมีอินเตอร์เน็ตให้รึป่าว (ถ้าไม่มีเราต้องเผื่อค่าใช้จ่ายเรื่องนี้ด้วยครับ)

  1. สถานที่

แนะนำให้เลือกที่พักที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากครับ จะได้ไม่เหนื่อยเรื่องการเดินทางและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ด้วยครับ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้เลือกที่พักที่สามารถเดินไปโรงเรียนได้นะครับ ถ้าเดินแล้วใช้เวลานานและเหนื่อยเกิน ลองดูเรื่องการขี่จักรยานไปกลับด้วยก็ได้ครับ (ถ้าจะใช้จักรยาน อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะครับ)

  1. อยู่คนเดียวหรือว่ามีรูมเมท

เรื่องนี้สำคัญมากๆๆๆๆครับ ควรถามตัวเองไว้ก่อนเลยนะครับว่ายังไงดี เราสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ไหม ถ้าใครที่รู้ตัวว่าชอบอยู่คนเดียว ชอบความเป็นส่วนตัว แนะนำให้เลือกอยู่ห้องพักแบบเดี่ยวเลยนะครับ อย่าคิดแค่ว่า เอาน่า ไปอยู่ไม่นานมาก อยู่แบบมีรูมเมทก็ได้ ค่าใช้จ่ายจะได้ถูกลง ผมบอกเลยว่าคุณจะไม่มีความสุขแน่นอนครับ ยอมเพิ่มเงินอีกหน่อยแล้วอยู่คนเดียวดีกว่าครับ (อาจจะหาห้องที่เล็กลงมาหน่อย เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ครับ) ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ สามารถอยู่แบบมีรูมเมทได้ ในกรณีที่รูมเมทไม่ใช่เพื่อนที่ไปด้วยกัน และมีชาติที่ไม่อยากอยู่ด้วย แนะนำให้คุยกับโรงเรียนไว้ด้วยนะครับ (โดยปกติโรงเรียนส่วนใหญ่จะถามอยู่แล้วครับ กรณีที่เลือกอยู่หอโรงเรียนแล้วต้องมีรูมเมท)

เป็นยังไงบ้างครับ อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วตัดสินใจเรื่องการเลือกโรงเรียนกันได้รึยังครับ สำหรับคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่ต้องเครียดนะครับ เพราะผมเข้าใจดีว่าการเลือกโรงเรียนที่เราจะต้องเสียเงินก้อนใหญ่ไปเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน ค่อยๆคิดนะครับ ไม่ต้องรีบ ลองเริ่มจากเลือกโรงเรียนที่เราอยากไปแล้วกำลังลังเลอยู่ออกมาซัก 3-5 ที่ก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยๆตัดออกไปทีละที่โดยพิจารณาจากข้อมูลที่ผมเขียนไว้ข้างบน แต่ถ้าสุดท้ายแล้วก็ยังเลือกไม่ได้ซักที พิจารณาข้อมูลทุกอย่างแล้วมันไม่ต่างกันมาก มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป

ผมแนะนำให้มั่นใจในตัวเองแล้วเลือกตามที่ Sense มันบอกมาเลยครับคิดซะว่า Sense แรกถูกเสมอครับ 5555

ใครที่ไม่รู้จะเริ่มยังไงลองไปปรึกษากับทางเอเจนซี่ก็ได้ครับ เอเจนซี่ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ช่วยนักเรียนที่จะไปเรียนที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว ลองคุยดูก่อนได้ครับ อย่างเจ้าที่ดังๆก็เช่น JEDUCATION ลองไปปรึกษาเพื่อเป็นแนวทางดูได้ครับ

 

อ่านบทความเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ https://japantoprank.com/

 

ศัพท์วัยรุ่นภาษาญี่ปุ่น สำหรับแชท ไม่ต้องกลัวเอาท์ ใช้ได้จริงชัวร์!!

คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น สำหรรัทแชท โซเชียลมีเดีย เรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ ศัพท์ภาษาญี่ปุ่น

ศัพท์วัยรุ่นภาษาญี่ปุ่น สำหรับแชท ไม่ต้องกลัวเอาท์ ใช้ได้จริงชัวร์!!

ศัพท์วัยรุ่นภาษาญี่ปุ่น สำหรับแชท ไม่ต้องกลัวเอาท์ ใช้ได้จริงชัวร์!! ใช้บ่อยมากๆ ในการแชทหรือในโซเชียล และยังสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อคุยกับ เพื่อน รุ่นน้อง หรือคนรัก วันนี้รวบรวมคำที่ใช้บ่อยสุดๆ มาแนะนำกัน 5 คำ มาเริ่มกันเล้ยยยยย!!

  1. お元気ですか。おげんきですか Ogenki-desu-ka แปลว่า สบายดีมั้ย ใช้ในการถามสารทุกข์ สุข ทักทายเมื่อพบเจอ หรือเมื่อไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลาสักพัก

ศัพท์วัยรุ่นภาษาญี่ปุ่น สำหรับแชท ไม่ต้องกลัวเอาท์ ใช้ได้จริงชัวร์!!

 

2.分かりました。わかりました Wakarimashita แปลว่า รับทราบ/เข้าใจแล้ว ใช้บ่อยมากๆเมื่อเราต้องการบอกว่าเราเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบาย

คำนี้ใช้ตอนทำงานก็ได้นะคะ เป็นคำสุภาพ

ศัพท์วัยรุ่นภาษาญี่ปุ่น สำหรับแชท ไม่ต้องกลัวเอาท์ ใช้ได้จริงชัวร์!!

3. またLINEします。Mata-LINE-shimasu เดี๋ยวไลน์หานะ

4. すみません sumimasen ขอโทษนะ

5. 大丈夫です だいじょうぶです Daijoubudesu ไม่เป็นไรจ้า ญี่ปุ่นก็คล้ายคนไทยตรงที่ใช้คำว่า ไม่เป็นไร บ่อยมากๆค่ะ เอะอะก็ไม่เป็นไรไว้ก่อน จำเผื่อไว้ได้ใช้แน่นอนจ้า

 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ https://japantoprank.com/

เฟสบุ๊คแฟนเพจ (3) Nihongo Ichiban | Facebook

ภาษาญี่ปุ่น ทักทายในที่ทำงาน

ภาษาญี่ปุ่น ทักทายในที่ทำงาน

ภาษาญี่ปุ่น ทักทายในที่ทำงาน

ใช้ได้ครบตลอดวัน

ภาษาญี่ปุ่น ทักทายในที่ทำงาน รวมประโยคภาษาญี่ปุ่น ใช้ได้ทุกสถานการณ์

การทักทายเป็น Impression ที่สำคัญมาก มีผลต่อความรู้สึกต่อผู้คนที่ได้พบเห็น ในแต่ละประเทศก็มีวัฒนธรรมการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ญี่ปุ่นก็เช่นกัน ญี่ปุ่นถือเป็นชาติที่เคร่งเรื่อง วัฒนธรรม มารยาทในการเข้าสังคม มีข้อที่ควรรู้มากมาย วันนี้จะพาไปรู้จักวัฒนธรรมในการทักทาง  และประโยคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ภาษาญี่ปุ่น ทักทาย ในที่ทำงาน

1. สวัสดีตอนเช้า おはようございます。O ha you go zai masu Good Morning

การทักทายตอนเช้าในที่ทำงาน ถือว่าเป็นมารยาทที่ตอนเช้ารุ่นน้อง หรือทุกคนในที่ทำงานจะต้องทำการทักทาย เสียงดังฟังชัด กับทุกคนในที่ทำงาน สื่อได้ว่าเรามี ความพร้อมที่จะทำงานในวันนี้

2. สวัสดีตอนบ่าย こんにちは Kon ni chi wa Good Afternoon

ในกรณีที่เราทักทายผู้คนที่พบในตอนบ่าย เราสามารถพูดว่า こんにちは หากพบคนในบริษัทในช่วงบ่าย คนญี่ปุ่นมักจะพูดว่า お疲れ様です。เป็นวัฒนธรรมที่ดีงามมากค่ะ คำนี้หมายถึง ขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย มักพูดเมื่อเจอคนที่ทำงานหลังเที่ยง เนื่องจากว่าพวกเค้าเหล่านั้นตั้งใจทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาแล้วในช่วงเช้านั่นเอง

3. สวัสดีตอนเย็น こんばんは Kon ban wa Good Evening

ในกรณีที่เราทักทายผู้คนที่พบในตอนเย็น เราสามารถพูดว่า こんばんは

4.หลังเลิกงาน お疲れ様です。 O tsu ka re sa ma desu Thank you for your Tired.

หลังเลิกงาน ก่อนกลับบ้าน ต้องขอบคุณทุกคนสำหรับการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ หลังจากนั้นจึงกลับบ้านไปพักผ่อนได้

5.ขออนุญาติกลับก่อน お先に失礼します。 O saki ni shi tsu rei shi masu 

ในสมัยก่อน ทุกคนอาจเคยได้ยินคำล่ำลือที่ว่า ในสังคมการทำงานที่ญี่ปุ่น รุ่นน้องจะไม่สามารถกลับก่อนรุ่นพี่ได้!!! แสดงออกถึงความรับผิดชอบร่วมกันต่อหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ แต่ในปัจจุบันคำล่ำลือนั้นเริ่มจางหายไป… เริ่มทำงานได้ง่ายขึ้น ยืดหยุ่นต่อทุกคนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการกลับก่อนกลับหลังจึงไม่ได้เป็นข้อปฏิบัติอีกต่อไป แต่เมื่อเราต้องการขอทุกคนในทีมกลับบ้านก่อน เราจะต้องพูดว่า お先に失礼します。แปลความหมายว่า ขออนุญาติกลับก่อนนะคะ/นะครับ

ภาษาญี่ปุ่น การขอบคุณ ในชีวิตประจำวัน การทำงาน

แนะนำหนังสือรวบรวมคำศัพท์ที่ใช้ในธุรกิจ กรทำงาน เนื้อหาดี ใช้งานได้จริง

ภาษาญี่ปุ่น บอกรัก

ภาษาญี่ปุ่น บอกรัก

รวม13ประโยคบอกรัก บอกชอบ ซึ้งๆ หวานๆ ดีต่อใจ ภาษาญี่ปุ่น

เก็บไว้ใช้กับคนที่ชอบ และ แฟนเรากัน💕

 

1.I think about you all time. ฉันคิดถึงแต่คุณตลอดเวลา

JP: いつもあなたと会いたい。

2. I can’t bear to be apart from you. ฉันทนไม่ได้ ถ้าต้องห่างคุณ

JP: あなたから離れることに耐えられない。

3. I adore you. ฉันชอบคุณ

JP: 好きですよ。

4. I can’t live without you. ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณ

JP: あなた居ないなら生きられない。

5. I want to spend the rest of my life with you. ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลือกับคุณ

JP: 私の人生をあなたと過ごしたい。

6. I’ll stand by you no matter what. ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

JP: 何があってもあなたのそばにいます。

7. I have had a crush on you for a long time. ฉันแอบชอบนานแล้ว

JP: 長い間あなたに恋をしている。

8. You are the person I want to see in the morning. คุณคือคนแรกที่ฉันอยากเจอในตอนเช้า

JP: あなたは私が朝見たい人です。

9. Could you please be with me. คบกันมั้ย

JP: 付き合ってますか。

10. I will always take care of you. จะดูแลคุณเสมอ

JP: いつも立つけるよ。

11. I liked you since we first met. ชอบคุณตั้งแต่แรกเจอ

JP: 初めてあった時から好きだよ。

12. Would you go on a date with me? ไปเดทกันได้มั้ย

JP: デートに行きましょうか。

13. I’m happy that I dated you today. ฉันมีความสุขที่ได้ไปเดทกับคุณวันนี้

JP: 今日はあなたとデートできてうれしいです。

14. I miss you I wanna meet you. ฉันคิดถึงและอยากพบคุณ

JP: あなたに会いたい。会いましょうか。

15. Can you please give me a line contact? แลกไลน์กันไว้ได้มั้ย

JP: LINEを交換しましょう。

ภาษาญี่ปุ่น บอกรัก 

อ่านบทความน่าสนใจอีกมากมายได้ที่  (japantoprank.com)

ภาษาญี่ปุ่น บอกรัก

 

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

かぞく

(Ka-zo-ku) : Family 👨‍👩‍👧‍👦

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น
รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

おっす!โย่วๆ สวัสดีค่าทุกคน 😁

ความรู้ภาษาญี่ปุ่นในวันนี้ที่มุกกุจะเอามาแชร์ ก็คื๊ออ

คำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่นนั่นเองค๊าา เป็นคำศัพท์ที่ต้องบอกเลยว่าเราหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้ ไม่ได้จริงๆ !!

เพราะในทุกทุกวันเราต้องใช้แน่นอน ต้องใช้เรียกหาอิพ่อหาอิแม่

อิแม่ขอตังหน่อย อิพ่อขอตังหน่อย !

เย้ยยย อย่าเอาความจิงมาพูดสิ ฮ่าฮ่าๆๆๆ😝

 

ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเนี่ย การเรียกครอบครัวตัวเองกับครอบครัวคนอื่นเค้าก็จะใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกันไปอี๊กกก

ทุกคนก็ต้องระวังนะ จะใช้เรียกสลับกันไม่ได้ แต่ไม่ยากค่ะ มุกกุเชื่อว่าทุกคนต้องจำได้แน่นอน

ระหว่างคำศัพท์ที่ไว้ใช้เรียกครอบครัวตัวเอง わたしのかぞく กับ

คำศัพท์ที่เอาไว้ใช้เรียกครอบครัวคนอื่น ซึ่งในที่นี้มุกกุจะสมมติว่าเป็นครอบครัวของเพื่อน คือ

ともだちのかぞく นั่นเอง หรือจะเป็นครอบครัวใครก็ได้ที่ไม่ใช่ครอบครัวเรา

 

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

 คำศัพท์จะแตกต่างกันมากน้อยยังไง เราไปดูกันเล้ยย

行こう!

💓เรามาเริ่มจาก💓

 

“คุณแม่” 🤱

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

 

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく はは Ha-ha
ともだちのかぞく お母さん おかあさん o-kaa-san

 

“คุณพ่อ” 👨

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

 

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく ちち Chi-chi
ともだちのかぞく お父さん おとうさん o-too-san

 

“พี่สาว” 👩

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく あね a-ne
ともだちのかぞく お姉さん おねえさん o-nee-san

 

“พี่ชาย” 👲

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく あに a-ni
ともだちのかぞく お兄さん おにいさん o-nii-san

 

 

“น้องสาว” 👧

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく いもうと i-moo-to
ともだちのかぞく 妹さん いもうとさん i-moo-to-san

 

 

“น้องชาย” 👦

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく おとうと o-too-to
ともだちのかぞく 弟さん おとうとさん o-too-to-san

 

เเละเมื่อเรามีฟามรัก 👩‍❤️‍💋‍👨เเบบว่าๆๆ ได้เเต่งงานเเล้ว ๆๆ

เราจะได้ใช้คำศัพท์เหล่านี้ อิอิ

 

“สามี” 🙋‍♂️

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく おっと Ot-to
ともだちのかぞく ご主人 ごしゅじん Go-shu-jin

 

“ภรรยา” 🙋‍♀️

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく つま Tsu-ma
ともだちのかぞく 奥さん おくさん o-ku-san

 

 

“ลูก” 👶

かぞく kanji hiragana romanji
わたしのかぞく 子供 こども Ko-do-mo
ともだちのかぞく お子さん おこさん o-ko-san

 

ลองมาดูประโยคตัวอย่าง

👇 รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่น 👇

わたしのかぞくは5にんです。

ちちとははとあねとわたしといもうとです。

Watashi-no-kazoku-wa-go-nin-desu.

chichi-to-haha-to-ane-to- watashi-to-i-moo-to-desu.

ครอบครัวของฉัน

มี5คน

มีพ่อ แม่ พี่สาว

ฉัน และ น้องสาว

このひとはだれですか。 Kono-hito-wa-dare-desu-ka? คนนี้คือใครหรอคะ?
あねです Ane-desu พี่สาวฉันเอง
せんせいのおかあさん Sen-sei-no-o-kaa-san แม่ของคุณครู
せんせいのごしゅじん Sen-sei-no-go-shu-jin สามีของคุณครู
わたしのおっと Watashi-no-otto สามีของฉัน

เพื่อนๆสามารถนำคำศัพท์เหล่านี้ไปฝึกเเต่งประโยคง่ายๆเเบบนี้ได้เลยค่า รับรองว่าได้ใช้กันเเน่นอน✅

 

 👉 รู้จักคำศัพท์ Day of the week🌈 คลิ๊กเล้ย 👇

https://www.youtube.com/watch?v=PDgWP18QgtY&list=PLDiur1qR4igaaBDX3txY6dytenn5RuP3T&ab_channel=MUKKUNihongo

ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน
ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน

 

หวังว่าเพื่อนๆจะได้นำคำศัพท์จากบทความ รวมคำศัพท์เกี่ยวกับครอบครัวในภาษาญี่ปุ่นเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ

เเละหวังเป็นอย่างยิ่งเลยว่าคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆคุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่นมากขึ้นค่ะ

สำหรับใครที่กำลังเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นรับรองว่าจะต้องได้ใช้คำศัพท์เหล่านี้ในชีวิตประจำวันเเน่นอนค่ะ

มีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเเละประเทศญี่ปุ่นอีกเพียบ รวมไปถึงวิดีโอเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรี สามารถเข้าไปเยี่ยมชมที่เว็บไซต์

https://japantoprank.com/

เเล้วพบกันใหม่นะคะ matane 😉

 

 

ออกเสียงชื่อเเบรนด์เเฟรนไชน์ในญี่ปุ่น

ออกเสียงชื่อแบรนด์เเฟรนไชน์

🎌ไทยVSญี่ปุ่น🎌

ออกเสียงชื่อเเบรนด์เเฟรนไชน์ในญี่ปุ่น ยังไงให้ถูก?

แบรนด์เเฟรนไชน์ที่มีทั้งในไทยเเละญี่ปุ่น ออกเสียงเหมือนกันไหม?

คนญี่ปุ่นเค้า เรียก7-11 ว่าเซเว่น รึป่าว? หรือ เรียก KFC ว่าเคเอฟซี ไหม ?

วันนี้เราจะมาฝึก !!!

ออกเสียงชื่อเเบรนด์เเฟรนไชน์ในญี่ปุ่น

 

ฝึกออกเสียงเเบรนด์ญี่ปุ่น

 

 

ปัจจุบันนี้มีแบรนด์เเฟรนไชน์มากมายที่เราสามารถเห็นได้ทั้งในประเทศไทยเเละประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคนไทยอย่างพวกเราก็จะออกเสียงชื่อเเบรนด์เเฟรนไชน์เหล่านี้กันในเเบบไทยๆ เเต่ถ้าเเบรนด์เหล่านี้ไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นหละ คนญี่ปุ่นเค้าจะออกเสียงชื่อเเบรนด์เหล่านี้

ยังไงกันนะ? จะเหมือนหรือต่างจากคนไทยมากเเค่ไหนกัน ?

เวลาที่เราไปเที่ยวญี่ปุ่น ทุกคนเคยสังเกตุกันไหมว่าคนญี่ปุ่นเค้า เรียกเซเว่นอีเลเว่น

ว่าเซเว่น ไหม? หรือ เรียก เคเอฟซี ว่าเคเอฟซี แบบที่พวกเราคนไทยเรียกกันรึป่าว ⁉⁉

ชื่อแบรนด์แฟรนไชน์ต่างๆที่เรารู้จักเนี่ย คนญี่ปุ่นเค้าออกเสียงไม่เหมือนกับที่ไทยนะเธอ !!!🤭

 

วันนี้ก็ได้รวบรวมมาเยอะพอสมควร งั้นเรามาดูกันว่าการออกเสียงชื่อแบรนด์เเฟรนไชน์ในญี่ปุ่น

ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารหรือร้านขนมต่างๆ ที่มีทั้งที่ในไทยและญี่ปุ่นนั้น การออกเสียงมันจะต่างกันขนาดไหน

หากคนไทยอย่างเราเราที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเนี่ย จะฟังออกไหมนะ?🤔

มาเริ่มจากเเบรนด์ที่พวกเรา เห็นแทบจะทุกที่บนท้องถนนทั้งที่ไทยและญี่ปุ่น

เข้าเกือบจะทุกวัน เข้าๆออกๆเป็นว่าเล่น เพราะนางเปิด24ชั่วโมงจย้า✅

แบรนด์ร้านสะดวกซื้อนั่นเอง !!! ที่ญี่ปุ่น เค้าจะเรียกร้านสะดวกซื้อว่า

コンビニエンスストア (Convenience Store) หรือย่อๆ ว่า コンビニ [Com-bi-ni] นั่นเอง🥡

 

ถ้าพร้อมเเล้วเราไปดูการออกเสียงชื่อเเบรนด์ต่างๆในญี่ปุ่นกันเล้ยย !!!

👇เริ่มจากมาดูการออกเสียงชื่อเเบรนด์เเฟรนไชน์ร้านสะดวกซื้อกันเลยค่ะ👇

 

http://www.sej.co.jp/

7-Eleven

คนไทย: เซเว่น
คนญี่ปุ่น: セブンイレブン [Se-bun-I-re-bun]

 


http://www.family.co.jp/

FamilyMart
คนไทย: แฟมิลี่มาร์ท
คนญี่ปุ่น: ファミリーマート [Fa-mi-rii-Maa-to]
*เรียกย่อๆ ว่า ファミマ [Fa-mi-ma]

 

http://www.lawson.co.jp/

Lawson
คนไทย: Lawson (ลอว์สัน)
คนญี่ปุ่น: ローソン [Roo-son]

https://www.daisojapan.com/

Daiso

คนไทย: ไดโซะ

คนญี่ปุ่น: ダイソー (Dai-sou)

 

มาดูพวกแบรนด์ของกินกันบ้าง อาหารฟาสต์ฟู้ด ต่างๆ

🌭🍔อ้วนยังไงแต่บอกเลยว่าชอบมาก !!🍟🍕

 

 

http://www.kfc.co.jp/

KFC (Kentucky Fried Chicken)
คนไทย: เคเอฟซี
คนญี่ปุ่น: ケンタッキーフライドチキン [Kentakkii Furaido Chikin] *เรียกย่อๆ ว่า ケンタッキー [Kentakkii]

 

 

  McDonald’s
คนไทย: แมคโดโน่
คนญี่ปุ่น: マクドナルド [Ma-ku-do-na-ru-do]
*เรียกย่อๆ ว่า マック [Mak-ku]


https://www.burgerking.co.jp/#/home

Burger King

คนไทย: เบอร์เกอร์คิง
คนญี่ปุ่น: バーガーキング [Baa-gaa-Kin-gu]

 

http://mos.jp/

Mos Burger

คนไทย: มอส เบอร์เกอร์
คนญี่ปุ่น: モスバーガー [Mo-su-Baa-gaa] *เรียกย่อๆ ว่า モス (Mo-su)

 

http://www.subway.co.jp/

SUBWAY

คนไทย: ซับเวย์
คนญี่ปุ่น: サブウェイ [Sa-bu-wei]

 

https://corp.pizzahut.jp/

Pizza Hut

คนไทย: พิซซ่า ฮัท
คนญี่ปุ่น: ピザハット [Pi-za-Hat-to]

 

http://www.dominos.jp/

Domino’s Pizza

คนไทย: โดมิโน่ พิซซ่า
คนญี่ปุ่น: ドミノ・ピザ [Do-mi-no-Pi-za]

 

🍨ต่อไปเรามาดูเเฟรนไชน์ ร้าน ของหวาน ไอศกรีม และ เครื่องดื่ม กันบ้างจ้า🥤🍦

จะออกเสียงต่างกันมากไหมนะ ?🧐

 

http://www.starbucks.co.jp/

Starbucks

คนไทย: สตาร์บัคส์
คนญี่ปุ่น: スターバックス [Su-taa-ba-ku-su] *นิยมเรียกย่อๆ ว่า スタバ [Su-ta-ba]

 

http://www.misterdonut.jp/

Mister Donut

คนไทย: มิสเตอร์ โดนัท
คนญี่ปุ่น: ミスタードーナツ [M-isu-taa-Doo-na-tsu] *นิยมเรียกย่อๆ ว่า ミスド (Mi-su-do)

 

http://krispykreme.jp/

Krispy Kreme Doughnuts

คนไทย: คริสปี้ ครีม โดนัท
คนญี่ปุ่น: クリスピー・クリーム・ドーナツ [Ku-ri-su-pii-Ku-rii-mu-Do-na-tsu] *เรียกย่อๆว่า クリスピー [Ku-ri-su-pii]

 

http://www.31ice.co.jp/

Baskin Robbins

คนไทย: บาสกิ้น รอบบิ้นส์
คนญี่ปุ่น:サーティワンアイスクリーム [Saa-ti-wan-Ai-su-ku-ri-mu] (Thirty One Ice Cream)
*เรียกย่อๆ ว่า サーティワン[Saa-ti-wan] (Thirty One)

 

http://www.haagen-dazs.co.jp/

Häagen-Dazs

คนไทย: ฮาเก้น ดาส
คนญี่ปุ่น: ハーゲンダッツ [Haa-gen-Das-su]

 

👉ฝึกออกเสียงตามคลิป คลิ๊กเล้ยยย ✅

https://www.youtube.com/watch?v=yu5ZjBxsYYY&list=PLDiur1qR4igZR92eCL-XXFk__D0NRkham

ฝึกออกเสียงเเบบคนญี่ปุ่น
ฝึกออกเสียงเเบบคนญี่ปุ่น

 

💁‍♀️เป็นยังไงกันบ้างคะ การออกเสียงแบรนด์เเฟรนไชน์ ของที่ญี่ปุ่นและที่ไทย

ก็จะมีทั้งออกเสียงต่างกันนิดหน่อยไปจนถึงต่างมากเเละมากที่สุด555555

เรียกได้ว่าถ้าเราได้ยินเค้าพูดมาก็อาจจะ อิหยังนะ 🤔 งงเเตก กันเลยทีเดียวเชียว 🤣

มันเป็นเพราะว่า เนื่องจากมีบางเสียงที่คนญี่ปุ่นเค้าออกเสียงไม่ถนัด เช่น

เสียง V มักจะถูกออกเสียงเป็นเสียง B ค่ะ (เซเว่นอีเล่นเว่น เลยกลายเป็น เซบุ้นอีเลบุ้น)

ทีนี้ทุกคนก็ได้รู้กันเเล้วนะคะ ว่าถ้าเจอเเบรนด์เหล่านี้เนี่ยจะต้องออกเสียงยังไง

ให้ดูเป็นคนญี่ปุ๊นญี่ปุ่น 🎌

หวังว่าเวลาทุกคนไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อได้ยินชื่อเเบรนด์เหล่านี้ ก็น่าจะเดาได้แล้วนะคะ

ว่าคนญี่ปุ่นเค้ากำลังพูดถึงแบรนด์ไหนนน…เย่ๆ 😆

ใครที่กำลังสนใจศึกษาภาษาญี่ปุ่น หรือ กำลังมีเเพลนไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บ

https://japantoprank.com/

รวบรวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยว วิดิโอเรียนฟรี เเนวทางการสอบ ทุนเรียนฟรี ต่างๆ รวมถึงบทความน่าสนใจอีกเพียบเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น

เเล้วพบกันใหม่บทความหน้า matane !!!😉

รวมคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่น

Location Words

⬅➡⬆⬇

รวมคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่น

รวมคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่น

รวมคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่น

 

みんなさん!こんにちは 🙋

สวัสดีค่าเพื่อนๆทุกคน

 ความรู้ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานที่มุกกุเอามาฝากในวันนี้ก็คือ คำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง ❗

มุกกุได้รวมคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่นที่เรามักจะเจอบ่อยๆ

ในส่วนของคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งต่างๆที่นำมาแชร์นี้จะเป็นคำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ในภาษาญี่ปุ่นเลยนะคะ

สำหรับใครที่ตั้งใจกำลังจะไปสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT N5 ก็ควรจะต้องรู้คำศัพท์เหล่านี้แล้วน้า

ส่วนใครที่กำลังเรียนพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นอยู่หละก็ มุกกุรับรองว่าคำศัพท์และรูปประโยคที่มุกกุเอามาแชร์ในบทความนี้

จะมีประโยชน์และได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอนเล้ยยย !!!

ถ้าพร้อมแล้วเราไปลุยกันดีกว่า โกโก…. ✌️

いっしょうにまなびましょう ❗

Let’s learn together

หลักการแต่งประโยคง่ายๆ

พร้อมฝึกเเต่งประโยคจากคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่น

『~の~』

Noun  ✙   の ✙ Noun 

 

คันจิ : 上

例えば : ตัวอย่างประโยค

うえ (u-e) : on : บน

🔽

つくえのうえ (tsu-ku-e-no-u-e) : on the table : บนโต๊ะ

🔽

はなはつくえのうえです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no-u-e-desu) :

the flower is on the table : ดอกไม้อยู่บนโต๊ะ ✅

 

คันจิ : 下

例えば : ตัวอย่างประโยค

した (shi-ta) : ใต้

🔽

つくえのした (tsu-ku-e-no-shi-ta) : under the table : ใต้โต๊ะ

🔽

はなはつくえのしたです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no- shi-ta -desu) :

 the flower is under the table : ดอกไม้อยู่ใต้โต๊ะ ✅

 

คันจิ : 右

例えば : ตัวอย่างประโยค

みぎ (mi-gi) : right : ขวา

🔽

つくえのみぎ (tsu-ku-e-no-mi-gi) : Right hand side of the table : ด้านขวามือของโต๊ะ

🔽

はなはつくえのみぎです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no- mi-gi -desu)

 the flower is right side of the table : ดอกไม้อยู่ทางขวามือของโต๊ะ ✅

 

คันจิ : 左

例えば : ตัวอย่างประโยค

ひだり (hi-da-ri) : left : ซ้าย

🔽

つくえのひだり (tsu-ku-e-no- hi-da-ri) : Left hand side of the table : ด้านซ้ายมือของโต๊ะ

🔽

はなはつくえのひだりです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no- hi-da-ri -desu)

 the flower is left side of the table : ดอกไม้อยู่ทางซ้ายมือของโต๊ะ ✅

 

คันจิ : 前

例えば : ตัวอย่างประโยค

まえ (ma-e) : front : ข้างหน้า

🔽

つくえのまえ (tsu-ku-e-no-ma-e) : in front of the table : ข้างหน้าโต๊ะ

🔽

はなはつくえのまえです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no-ma-e-desu)

 the flower is in front of the table : ดอกไม้อยู่ข้างหน้าโต๊ะ ✅

 

คันจิ : 後ろ

例えば : ตัวอย่างประโยค

うしろ (u-shi-ro) : back : ข้างหลัง

🔽

つくえのうしろ (tsu-ku-e-no-u-shi-ro) : at the back of the table : ข้างหลังโต๊ะ

🔽

はなはつくえのうしろです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no-u-shi-ro-desu)

 the flower is at the back of the table : ดอกไม้อยู่ข้างหลังโต๊ะ ✅

 

คันจิ : 近く

例えば : ตัวอย่างประโยค

ちかく (chi-ka-ku) : near, nearby : ใกล้

🔽

つくえのちかく (tsu-ku-e-no-chi-ka-ku) : nearby the table : ใกล้โต๊ะ

🔽

はなはつくえのちかくです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no-chi-ka-ku-desu)

 the flower is nearby the table : ดอกไม้อยู่ใกล้ๆโต๊ะ ✅

 

คันจิ : 中

例えば : ตัวอย่างประโยค

なか (na-ka) : inside : ข้างใน

🔽

つくえのなか (tsu-ku-e-no-na-ka) : inside the table : ข้างในโต๊ะ

🔽

はなはつくえのなかです (ha-na-wa-tsu-ku-e-no-na-ka-desu)

 the flower is inside the table : ดอกไม้อยู่ข้างในโต๊ะ ✅

 

💛💛💛💛💛💛💛💛💛💛

 

ใครอ่านมาถึงตรงนี้มุกกุมั่นใจว่า จะสามารถบอกตำเเหน่งที่ตั้งของสิ่งของหรือสถานที่เป็นภาษาญี่ปุ่นได้เเล้วเเน่นอน !!

เพื่อนๆลองฝึกเปลี่ยนคำนามไปเรื่อยๆจะเป็นวิธีการทบทวนคลังคำศัพท์ในหัวของเราได้ดีเลยทีเดียวค่า 💟

👇นอกจากตัวอย่างคำศัพท์ด้านบนเเล้วยังมีคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งในภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม👇

เช่น

となり『隣』 (to-na-ri) แปลว่า next ข้างๆ หรือ ถัดไป 『~の』

あいだ『間』 (ai-da) แปลว่า between  ระหว่าง 『AとBの』

 

👉ฝึกทำข้อสอบ JLPT N5 ฟรีฟรี คลิ๊กเลย

https://www.youtube.com/watch?v=k3M9wUCH2A4&t=563s

หวังว่าเพื่อนๆจะได้นำคำศัพท์การบอกตำแหน่งที่ตั้งสิ่งของหรือสถานที่ต่างๆในภาษาญี่ปุ่นเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ

เเละหวังเป็นอย่างยิ่งเลยว่าคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆทำข้อสอบ JLPT ได้ค่ะ

สำหรับใครที่กำลังเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นรับรองว่าจะต้องได้ใช้คำศัพท์เหล่านี้ในชีวิตประจำวันเเน่นอนค่ะ

มีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเเละประเทศญี่ปุ่นอีกเพียบ รวมไปถึงวิดีโอเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรี สามารถเข้าไปเยี่ยมชมที่เว็บไซต์

https://japantoprank.com/

เเล้วพบกันใหม่นะคะ matane 😉